++ ดอยเสมอดาว ............. กับอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าจดจำ

จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งคือความที่อยากไปเหมือนเคยครับ ถึงหยุดงานได้แค่ 2 วันแต่พวกเราก็ไม่หวั่น การเดินทางครั้งนี้ เรามีสมาชิกที่ร่วมชะตากรรมกัน4 คน มีผม แหม่ม สั้น(ลงทุนลงมาจากร้อยเอ็ดเพื่อไปทริปนี้กับพวกเราเลยครับ)และอีกคนคือ พี่ดำ ผู้ที่มาพร้อมสายฟ้าแลบ นั้นเป็นเพราะว่าแหม่มเพิ่งโทรไปชวนก่อนรถออกประมาณ ชั่วโมงเศษ แก่ก็ตอบตกลงทันทีอย่างไม่ลังเล ไม่รู้เลยว่าการมาเที่ยวกับพวกเราในครั้งนี้นั้นแสนลำบากขนาดไหน  เราใช้บริการของ สมบัติทัวร์ในการเดินทางจากกรุงเทพ 
สู่ อ. เวีัยงสา จ.น่าน


พวกเราลงแวะที่บ้านเพื่อนที่อ.เวียงสาเพื่อล้างหน้าล้างตาทานอาหารเช้ากันก่่อน หลังจากนั้นเราก็วานให้เพื่อนไปส่งที่ถนนสาย 1026 เลย อ.เวียงสาไปประมาณ 3 กม. เพื่อที่จะโบกรถกัน


พอลงจากรถแล้วพวกเราก็เดินๆ เพื่อที่จะหาทำเลเหมาะๆในการที่จะโบกรถกัน เพียงไม่นานก่อนที่เราจะหยุดโบกรถกันอย่างจริงจัง เราก็ได้ผู้ใจดี ให้พวกเราได้อาศัยติดรถไปด้วย ผมส่งแหม่มไปเจรจาสอบถาม ได้ความว่า พี่ๆเขาจะไป อ.นาน้อย นั่นเป้าหมายแรกของพวกเราเลยครับบ พวกเรารีบขอบคุณและกระโดดขึ้นท้ายกระบะในทันที  เย้ พร้อมลุย


การโบกรถเช้าวันนี้เริ่มต้นดีจริงๆครับ ไม่นานหลังจากผ่านมาประมาณ 35 กม. พวกเราก็เดินทางมาถึง 
อ.นาน้อยกันแล้วครับบ


ที่ว่าการ อ.นา้น้อย พวกเรารีบกระโดดลงจากรถทันที ที่รถจอดสนิท แล้วไปขอบคุณผู้ใจดีคนแรกของเราในครั้งนี้ ทางข้างหน้าคือเส้นทางไปอ.นาหมื่น และปากนาย


จากหน้าที่ว่าการอำเภอ พวกเราเดินย้อนกลับมาประมาณ 50 ม. เพื่อที่จะมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางหมายเลข 1083  นาน้อย - ปางไฮ  เหมือนเคยที่พวกเราเดินหาจุดที่จะโบกรถกัน แต่ถ้ามีรถผ่านมาก็โบกเลย และวันนี้พวกเราก็ยังโชคดีเหมือนเคยครับบ เพียงคันแรก พวกเราก็ได้ผู้ใจดีให้เราติดรถไปด้วย และเป้าหมายของเราก็เหมือนกันนั่นก็คือ ดอยเสมอดาว (ต้องขอขอบคุณพี่ๆใจดีด้วยนะครับบ)

 
ผ่านมาประมาณ 16 ก.ม. พวกเราก็มาถึงดอยเสมอดาวกันแล้วครับ  ดอยเสมอดาวอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติศรีน่าน มีเนื้อที่ประมาณ 640,237 ไร่ หรือ 1,024 ตารางกิโลเมตร



ดอยเสมอดาวมีที่กางเต็นท์ ห้องน้ำคอยให้บริการอย่างสะดวกสะบาย แต่ไม่มีร้านอาหารคอยให้บริการ มีเพียงของเล็กๆน้อยๆที่เจ้าหน้าที่ เอามาขายเท่านั้น


และการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ศึกษาเตรียมข้อมูลอะไรกันมาเลยครับ พอมาถึงรู้ว่าไม่มีร้านอาหาร ก็เลยเข้าไปสอบถามพี่เจ้าหน้าที่ พี่เขาบอกว่ามีแต่มาม่ากระป๋องได้ไหม อยากจะบอกพี่เจ้าหน้าที่ว่าแค่นั้นก็อาหารรสเลิศแล้วหล่ะ ครับบ ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย พวกเราก็เลยซื้อไว้เป็นมื้อเย็นและมื้อเช้า พร้อมขนบคบเคี้ยวต่างๆ


ส่วนอาหารเที่ยงของวันนี้ ซึ่งนี่ก็เลยเที่ยงมาเป็นชั่วโมงแล้วครับ แต่ละคนเริ่มหิวสอบถามพี่เจ้าหน้าที่คนเดิมได้ความว่า ที่ทำการอุทยานตรงผาชู้มีร้านอาหารให้บริการ แต่ว่าห่างจากที่นี่ประมาณ 2 ก.ม.ที่แรกก็กะว่าจะเดินไปกัน เดินเล่นๆชิวๆด้วย แต่ก็กลัวจะหิวจนตาลายซะก่อน เลยลองไปต๊อดถามยืมรถมอเตอร์ไซค์พี่เจ้าหน้าที่ ปรากฎว่าได้ (ดีใจมาก) แล้วมอเตอร์ไซค์ 2 คันก็แล่นออกไปตามเส้นทางสู่อาหาร


มาถึงที่ทำการที่ผาชู้ พวกเรารีบเข้าไปที่ร้านอาหารทันที ปรากฎว่าข้าวหมดกำลังหุงอยู่ ต้องรอสักหน่อย พวกเราหง๋อยลงทันทีที่ได้รับข่าวร้าย แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราไปเดินเล่นรอบๆ เพื่อฆ่าเวลากันดีกว่า


หลังจากทานอาหารกันเสร็จ เป้าหมายของเราต่อไปก็คือ ปีนไปบนยอดผาชู้กัน การจะเดินขึ้นผาชู้ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง เพราะว่าเส้นทางบริเวณด้านบนค่อนข้างอันตราย และอาจหลงได้ เพราะว่าเป็นหิน ไม่มีร่องรอยชัดๆให้เราได้รู้ว่าต้องเดินไปทางไหน


แต่ว่าวันนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่เลย มีเพียงท่านเดียวที่เฝ้าป้อมอยู่ แล้วลุงแก่บอกว่าลองขึ้นไปดูก็ได้ พวกเราสามคน ผม แหม่ม และสั้น (ส่วนพี่ำดำรออยู่ด้านล่างไม่ขึ้นไปด้วย )ก็พากันเดินขึ้นไปบนยอดผาชู้ จากป้อมยาม ถึงยอดผาชู้เวลาในการเดินประมาณ 30 นาที (แล้วแต่กำลังของแต่ละคน) ถึงแล้วครับยอดผาชู้ จุดนี้เป็นจุดที่ตั้งของธงชาติ ซึ่งเป็นธงชาติที่สายยาวที่สุดในประเทศไทย ยาวประมาณ 200 ม.จากด้านล่างที่ทำการ


แท่งหินปูนรูปร่างสวยๆบนยอดผาชู้ จากจุดนี้สามารถมองเห็นวิวได้ 360 องศา สวยมากๆ และการเดินแต่ละก้าวต้องใช้ความระมัดระวัง ต้องใส่รองเท้าผ้าใบเท่้านั้น เพราะหินหลายๆจุดจะเป็นหินคล้ายปะการังตะปุ่มตะป่ำมีัความคมมาก


เราใช้เวลาในการชื่นชมบรรยากาศอยู่บนนี้ประมาณ ครึ่งชั่วโมง เพราะรู้สึกสบายผ่อนคลายมากๆ แถมยังมีแค่เรา สาม คน ไม่ต้องแย่งกันให้วุ่้นวาย แล้วก็ได้เวลาเดินกลับลงมายังป้อมด้านล่าง ขาลงใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเท่านั้น


ไปถ่ายรูปคู่กับป้ายอุทยานกันสักหน่อยครับ กับมอเตอร์ไซค์คู่ใจของเราในครั้งนี้ พวกเรากลับมาถึงดอยเสมอดาวประมาณ บ่ายสามโมงครึ่งแล้วคืนรถให้กับพี่เจ้าหน้าที่ (พร้อมกับน้ำใจเล็กน้อยเป็นการตอบแทนที่ให้ยืมไปซิ่งครับ ขอบคุณพี่ๆเจ้าหน้าที่ด้วยครับ)


ผาหัวสิงห์ตั้งอยู่ข้างๆบริเวณ จุดชมวิวดอยเสมอดาว สามารถเดินขึ้นไปชมวิวด้านบนได้


เส้นทางที่ลงมาจากดอยเสมอดาว เพื่อเดินขึ้นไปยังผาหัวสิงห์ เส้นทางเดินหลังจากนี้ค่อนข้างลำบาก ใส่ร้องเท้าผ้าใบให้เรียบร้อยด้วยนะครับ เพราะว่าหินค่อนข้างคมเหมือนที่ผาชู้ครับแต่ที่นี่เดินง่ายกว่าและใกล้กว่า


แป๊บเดียวพวกเราก็เดินขึ้นมาถึงบนผาหัวสิงห์แล้วครับ ด้านล่างคือดอยเสมอดาว และจุดกางเต๊นท์ บนนี้ลมพัดเบาอย่างต่อเนื่องทำให้รู้สึกสบายมากๆ ผมบอกว่าอยากจะตะโกนดังๆจังเลย แหม่มกับสั้นรีบห้ามทันที อย่าเลยเดี๋ยวลำบากพี่เจ้าหน้าที่แตกฮือ รีบวิ่งมาดู จริงๆผมก็แค่พูดบอกเฉยๆครับไม่ได้คิดจะทำจริงหรอก 555


สี่โมงเย็นแล้ว แต่พระอาทิตย์ยังอยู่สูงและส่องแสงแรงจ้าอยู่เลยครับ ดีตรงที่มีสายลมเย็นๆคอยพัดผ่อนคลายตลอดเวลา ที่ตรงนี้เวลานี้ยังไม่มีใครขึ้นมาครับ จึงมีเพียงพวกเราสี่คนเท่านั้น


พอสักพัก ก็จะมีนักท่องเที่ยวเริ่มทยอยเดินขึ้นมา พี่ดำ แหม่ม และ สั้น จึงเดินลงไปก่อน ส่วนผมขอตัวหลบอยู่ในมุมเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกจากบนนี้


แสงแดดเริ่มอ่อนเเสงมากแล้ว กับอุณหภูมิที่เริ่มลดลง ผมขยับผ้าพันคอ ให้แนบชิดเพื่อช่วยให้อบอุ่นขึ้น นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยขึ้นมาทีละกลุ่มๆ เพราะว่าด้านบนที่ไม่ค่อยกว้างมากนัก


พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า และ้ด้านหน้านั้นคือที่ตั้งของ อ.นาน้้อย พอตะวันลับขอบเหลี่ยมเขาไป ผมก็รีบลงจากผาหัวสิงห์ ทันที โดยที่ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังไม่เดินลงมา ขาลงใช้เวลาเพียงแป๊บเดียวก็ถึงด้านล่างแล้วครับ


และแล้วก็ได้เวลาไปอาบน้ำกันแล้ว อยากบอกว่าน้ำเย็นสุดๆไปเลยครับ หลังจากอาบน้ำเสร็จเราก็ได้เวลาทานอาหารมื้อเย็นอันโอชะแล้วหล่ะ มาม่ากระป๋องกับอากาศอันหนาวเหน็บแบบนี้มันเข้ากันมากๆ ทานไปด้วย ซดน้ำร้อนๆไปด้วย อิ่มกันแล้วก็ได้เวลาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า หลังจากก้มหน้าก้มตากินอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง


ดวงดาวค่ำคืนนี้สวยมากๆครับ แสงระยิบระยับพร่างพราวบนท้องฟ้าที่มืดมิด คอยสะกดจิตใจจนแทบไม่อยากจะละสายตา  แต่ว่าไม่มีภาพเลยครับ เพราะว่าลมแรงมาก พัดซะขาตั้งกล้องสั่นเลย พวกเราจึงได้แค่เพียงนั่งมองเพื่อซึมซับ


ผ่านไปกับค่ำคืนอันหนาวเหน็บกับการหลับๆตื่นๆ เพราะเสียงลมแรงพัดกระหน่ำเต๊นท์ทั้งคืน ตีห้าตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้เราจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน


แต่กว่าจะลุกออกมาจากถุงนอนได้ ก็ปาไปอีกครึ่งชั่วโมง อากาศหนาวๆตอนเช้าๆแบบนี้ ไม่อยากลุกไปไหนเลยครับ แต่ไม่ได้ เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อนอนอยู่อย่างนี้ ในที่สุดก็ฝืนตัวเองลุกออกมาจากเต็นท์ได้ พร้อมกับตะโกนเรียกแหม่มกับ สั้นซึ่งตื่นแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมออกมาจากเต๊นท์เหมือนกัน ส่วนพี่ดำตื่นมาแต่เช้าก่อนเพื่อนแล้ว


สัมผัสแรกหลังจากเปิดประตูเต๊นท์แล้วเดินออกมาข้างนอก ความหนาวเหน็บวิ่งเข้ามาเกาะกุมรอบๆตัว ทั้งๆใส่เสื้อสองตัว เสื้อกันหนาวอีกตัว พร้อมผ้าพันคอ ได้แต่กอดอกซุกมืออยู่ใต้วงแขนด้วยความหนาวสั่น  เราเดินขึ้นไปบริเวณดอยเสมอดาวซึ่งห่างจากเต๊นท์ประมาณ 50 ม.กับผู้คนที่คลาคล่ำเต็มไปหมด
 ไม่นานสิ่งที่พวกเราทุกๆคนรอคอยก็โผล่ออกมา หนึ่งในสิ่งที่เราอุตส่าห์เดินทางไกลมาเพื่อสัมผัส
 

 กลับจากชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พวกเราก็มาทานอาหารอันโอชะเหมือนเดิม นั่้นก็คือมาม่ากระป๋อง ต้องเพิ่มแรงกันหน่อย เพราะวันนี้พวกเราต้องเหนื่อยกันอีกนานครับ เดินออกมาจากดอยเสมอดาวประมาณ 600 ม. ก็จะถึงถนนใหญ่ ซึ่งวันนี้เราจะต้องโบกรถลงไป ที่อำเภอกัน


เสียงรถคันแรกดังมาแต่ไกล ผ่านไป โดยที่เราไม่ได้โบกครับ นั่นเป็นเพราะว่าเป็นรถตู้ของนักท่องเที่ยว คันที่สองดังมาอีก แต่ก็ไม่ได้โบกอยู่ดีครับเพราะชาวบ้านเต็มกระบะเลย เส้นนี้นานๆจะมีรถผ่านมาสักคัน พวกเราก็นั่งรออยู่ข้างๆทางนั่นแหละ ไม่นานเสียงรถคันที่สามก็ดังขึ้นพร้อมๆกับใจของพวกเราที่ตื่นเต้น ลุ้นกันว่า จะเป็นรถอะไร สุดท้ายก็เป็นรถกระบะครับ พวกเรารีบโบกในทันที รถจอดเข้าขางทางพวกเราก็ไปเจรจาสอบถามกัน เย้ ในที่สุดก็ได้ไปแล้วครับ น้าแกจะไปที่อำเภอ (ขอบคุณน้าใจดีด้วยครับ)


พอกลับลงมาถึงที่อำเภอ นาน้อย เราก็เดินไปโบกรถกันต่อวันนี้เราจะเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองน่านกัน ยังไม่ทันจะได้โบกรถก็มีพี่ผู้หญิงใจดีคนหนึ่งเรียกและสอบถามพวกเราว่าจะไปไหน พอเราบอกจุดหมายไป พี่แกก็บอกว่าให้ไปด้วยกันเพราะ พี่เขาจะเข้าตัวเมืองพอดี (เป็นความโชคดีของเราอีกแล้วครับ ขอบคุณมากๆ) พี่แกยังอุตส่าห์แวะมาส่งเราถึงที่หน้าวัดภูมินทร์ฺเลยครับ


ในวันนี้เราจะเที่ยวในตัวเมืองทั้งวัน เริ่มที่วัดภูมินทร์ครับ ก่อนอื่นต้องโทรหาเพื่อนก่อนเพราะแบกกระเป๋าหนักๆแบบนี้เดินเที่ยวไม่ไหวแน่ และก็เป็นความโชคดีของพวกเราอีกแล้ว เพื่อนมาทำธุระที่ศูนย์ โอทอปซึ่งอยู่ใกล้ๆกับวัดภูมินทร์เลย จึงรบกวนฝากกระเป๋าไว้ที่รถของเพื่อนครับ (ต้องขอบคุณขวัญและพี่เนสมากครับ)


 วัดภูมินทร์มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนวัดใดในประเทศไทย คือ มีพระอุโบสถทรงจตุรมุข พระประธานจตุรพักตร์ นั่นคือมี สี่ด้าน สี่ทิศนั่นเองครับ


หลังจากนั่นเราก็ข้ามถนนไปชมวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหารกัน ซึ่งเดิมชื่อว่า วัดหลวงกลางเวียง สร้างโดยผู้ปกครองนครน่าน พญาภูเข่ง  มีพระธาตุช้างค้ำซึ่งเป็นศิลปะสุโขทัย


ภายในพระวิหาร และองค์พระประทาน ช่วงพักเที่ยงจะมีไกด์เด็กนักเรียนมาบรรยายเพื่อหาเงินเป็นทุนการศึกษาด้วย


หลังจากนั้นเราก็ข้ามจากวัดพระธาตุช้างค้ำมาฝั่งพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ วันนี้เสียค่าเข้าชมเพียง 10 บาทเท่านั้นเพราะว่าด้านล่างปิดปรับปรุงอยู่ เราจึงได้ชมเพีัยงชั้นบนเท่านั้น ที่นี่เป็นที่เก็บรักษางาช้างดำ ซึ่้งเป็นของคู่บ้านคู่เมือง


หลังจากนั้นเราก็เดินไปเที่ยวกันต่อ ที่วัดมิ่งเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมือง หรือเสามิ่งเมือง


ภายในบริเวณพระอุโบสถ ด้านหลังของเสาหลักเมือง


ลักษณะลวดลายปูนปั้นรอบๆพระอุโบสถ


แล้วเราก็ไปกันต่อที่ วัดศรีพันต้น ซึ่งเป็นวัดที่สวยงามมาก อีกแห่งของจังหวัดน่าน ด้านหน้าของพระอุโบสถ มีพญานาค 7 เศียรตรงบันไดด้านหน้าสีทองอร่าม และลวดลายปูนปั้นที่หน้าบันซึ่งทำไว้อย่างวิจิตรงดงาม


โดยฝีมือการปั้นของคุณ อนุรักษ์ สมศักดิฤ์ หรือ  " สล่ารง"


จากนั้นเราก็เหมารถไปกันต่อที่วัดพระธาตุแช่แห้ง พระธาตุประจำปีเกิด ปีเถาะ หรือปีกระต่าย


ภายในพระธาตุแช่แห้งประดิษฐาน พระเกศาธาตุและกระดูกข้อมือขวา ห่าง
จากตัวเมืองน่านประมาณ 3 กม. ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ


แล้วก็ได้เวลากลับไปรับกระเป๋าคืนแล้วหล่ะครับ แต่ยังมีอีกที่หนึ่งที่อยากไปเราจึงกลับไปรับกระเป๋ากับเพื่อนก่อน แล้วก็เหมารถสองแถวขึ้นวัดพระธาตุเขาน้อยกัน  


บริเวณวัดพระธาตุเขาน้อย เป็นอีกหนึ่งจุดในการชมตัวเ้มืองน่านได้อย่างสวยงาม มีพระพุทธรูปปางลีลา หรือ พระพุทธมหาอุตมมงคมนันทบุรีศรีเมืองน่าน ตั้งเป็นจุดเด่น เวลาประมาณ 17.30 น.เราก็กลับลงมาที่บขส. เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯกัน แต่กว่ารถจะออกก็ตั้ง ทุ่มครึ่งเราไปเดินหาอะไรทานกันก่อนดีกว่า


เราเดินมองหาร้านนั่งทานเล่นๆ ตั้งแต่ บขส. จนมาสะดุดเข้าที่ร้านขนมหวานของป้านิ่ม ร้านนี้ครับ อยู่ตรงสี่แยกศรีพันต้น ตรงข้ามวัดศรีพันต้นเลย เมื่อกลางวันเราไม่ได้มองมาทางนี้เลย


ของหวานมีหลายอย่างครับ ที่ขึ้นชื่อก็บัวลอยไข่หวาน ข้าวเหนียวดำ และยังมีของหวานรวมมิตรต่างๆ มีไอศครีมกะทิสดด้วย


ไม่รู้มาก่อนเลยว่าร้านนี้ดังมากๆ ใน จ.น่าน โชคดีที่ไม่พลาดโอกาสในการได้ชิม รสชาติจริงๆ ไม่หวานมากจนเกินไป  บรรยากาศร้านก็น่านั่ง ร้านเปิด 11.30 - 22.30 น.


หลังจากนั้นเราก็เดินเลยถัดเข้าไปอีกเล็กน้อย ไปเจอกับร้าน Coffee U บรรยากาศการตกแต่งภายในร้านดูน่่านั่งมาก ว่าแล้วเราก็เดินเข้าไปหาอะไรทานกันดีกว่า ด้านหน้าของร้านมีขายยำด้วย แหม่มเลยจัดการสั่งยำผักกูด กับ ลูกชิ้นปลาระเบิดมาทานกัน รสชาติอร่อยทีเดียวครับ มองไปมองมาจะได้เวลารถออกแล้วหล่ะ เราจึงรีบเดินกลับ บขส.กัน


ในที่สุดทริป 2 วัน 1 คืน ที่จังหวัดน่านก็เกิดขึ้นเป็นผลสำเร็จพร้อมกับเหน็ดเหนื่อย แต่สำหรับผมมันสนุกมากๆ ต้องขอขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทุกคน ที่อุตส่าห์อดทนตกระกำลำบากด้วยกัน


ทิ้งลาไปด้วยภาพพาโนราม่าบริเวณดอยเสมอดาวครับ (ตอนค่ำ)


บรรยากาศตอนเช้า

 ข้อมูลการเดินทาง
 1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
จากอำเภอเวียงสา ใช้ทางหลวงหมายเลข 1026 สู่อำเภอนาน้อย ระยะทางประมาณ 35 กิโลเมตรจากนั้นเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1083 สายนาน้อย-ปางไฮ ประมาณ 16 กิโลเมตรก็จะถึงดอยเสมอดาว และไปอีก 2 กิโลเมตรก็จะถึงผาชู้ และที่ตั้งอุทยานแห่งชาติศรีน่าน
2.โดยรถประจำทาง  
ใช้รถสายกรุงเทพฯ-น่าน ลงที่อำเภอเวียงสา แล้วต่อรถประจำทาง สายเวียงสา-นาน้อย-นาหมื่น ลงที่สามแยก บ้านใหม่ แล้วเหมารถสองแถวเข้าอุทยานฯ หรือเหมามอไซค์รับจ้าง ราคาประมาณ 150 บาท หรือ โบกรถขึ้น
 3. ข้อมูลรถโดยสาร
บริษัทสมบัติทัวร์
หมอชิต(สายเหนือ) 02-9362495-9
ศูนย์บริการลูกค้าสมบัติทัวร์วิภาวดี
Call Center 02-7921444

บริษัทขนส่งจำกัด 999,99
(สถานีขนส่งหมอชิต2)
02-936-2841-48, 02-936-2852-66 
 
บริษัทวิริยะทัวร์
หมอชิต 2 โทร. 02-9362827

 
บริษัทบุษราคัมทัวร์
กทม 02-936-0483 ,029360772 , 02-9364247 
บริษัทเชิดชัยทัวร์
กรุงเทพฯ 02-9360198
 อัตราค่าโดยสาร
รถมาตรฐาน 1,4 ก 756 บาท
รถมาตรฐาน 1,4 พ 567 บาท
รถมาตรฐาน 1,4 ข 497 บาท
รถมาตรฐาน 2,4ค 378 บาท










ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 สวนดอกไม้ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น (ที่ไม่ไกลจาก Tokyo)

Trip in japan : kamikochi คามิโคจิ ความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ใจกลางเจแปนแอลป์ (Matsumoto)

Zao Snow Monsters ทุ่งปีศาจหิมะที่ซาโอะ