+++ ให้สายลมพัดใจ...ไปซิ่งสองล้อ พ้อเมืองอุบล ( ตอนที่ 1 ) +++
การเดินทางครั้งนี้เริ่มด้วยสมาชิกทั้งหมด 4 คน กับการเดินทางสู่เมืองอุบล เพื่อชมพระอาทิตย์ก่อนใครในสยาม หลังจากลงจากเครื่องเสร็จก็ออกไปรับมอเตอร์ไซค์เ่ช่าที่เราได้ติดต่อเอาไว้นั่นก็คือ รถเช่าจาก JAY JAY CARS RENT เช่าสองวันขึ้นไปมีบริการรับ-ส่งที่สนามบินครัีบ พวกเรา่เช่า 3 วัน มีค่ามัดจำ 1000 บาท เจ้าของคือ พี่จุ๋มกับสามีชาวต่างชาติใจดีมากๆ มีคู่มือสำหรับท่องเที่ยวเมืองอุบลไว้ให้เสร็จสรรพ เมื่อทุกอย่างพร้อมเราก็ออกเดินทางกัน
หลังจากขับมอเตอร์ไซค์ฝ่าไอแดดอันร้อนระอุมา 2 ชม. จุดแรกที่พวกเราแวะชมนั่นก็คือเขื่อนปากมูลชื่นชมสายน้ำมูล สายน้ำหลักของอีสานใต้ กับปราการณ์กั้นลำน้ำที่มนุษย์สร้างขื้น
ถัดจากเขื่อนปากมูลเราก็ไปกันต่อที่อุทยานแห่งชาติแก่งตะนะ ก่อนอื่นก็ต้องไปชมสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของอุทยานนั่นก็คือสะพานแขวนนั่นเอง
หลังจากนั้นเราก็ไปชมจุดที่เป็นแก่งตะนะกันครับ เป็นแก่งโขดหินที่อยู่กลางลำน้ำมูล มีเรือนำเที่ยวด้วยโดยล่องมาจากตัวอำเภอโขงเจียม
"แก่งตะนะ" จากเรื่องเล่าขานกันว่ามาจากคำว่า "มรณะ" เพราะว่าบริเวณแก่งตะนะมีสายน้ำไหลเชี่ยวกราก และมีโขดหินน้อยใหญ่อยู่ทั่วไป ชาวบ้านที่ออกจับปลาหรือสัญจรมักจะได้รับอุบัติเหตุอยู่เป็นประจำ ชาวบ้านจึงเรียกแก่งนี้ว่าแก่งมรณะ และต่อมาจึงเรียกแก่งตะนะ
พวกเราใช้เวลาเดินเล่นถ่ายรูปไม่นานครับเพราะใกล้จะเที่ยวแล้วเราต้องไปกันต่อที่แม่น้ำสองสีที่บริเวณริมน้ำโขง อ.โขงเจียม เราไม่ได้นั่งเรือชมแม่น้ำสองสีกันครับ เพียงแค่ชมบรรยากาศโดยรอบเท่านั้่น นั่งดื่มเครื่องดื่มเย็นๆมองชมวิวฝั่งลาว ที่นี่เป็นอำเภอเล็กๆสงบน่าอยู่มากๆเลยครับ
วิวเมืองฝั่งลาวครับ ที่นี่มีบริการเรือนั่งข้ามไปเที่ยวเมืองลาวด้วยครับ แต่พวกเราไม่ได้ไปกัน
ออกจากอำเภอโขงเจียมเราก็รีบเร่งสปีดกันต่อครับ จุดหมายต่อไปคือผาแต้มครับ ออกจากตัวอำเภอเลยสามแยกมาหน่อย มีปั๊มน้ำมันอยู่เราแวะเติมน้ำมันกันก่อนครับ บิดมาจากอุบลจะหมดถังอยู่แล้ว ถึงอุทยานจ่ายค่าธรรมเนียมกันก่อน แล้วจุดแรกที่พวกเราแวะคือ เสาเฉลียงครับ (แต่ไม่มีรูป)อยู่ข้างทางเลย ในใจทีแรกนึกว่าจะใหญ่โตมากกว่านี้อีกครับและคงเยอะพอควร แต่ว่ามีเท่านี้เองครับ ข้างๆเสาเฉลียงมีทางเดินไปจุดชมวิวหินแตกครับเดินไปประมาณ 50 ม. ที่นี่เราได้พบกับอาจารย์สองสามีภรรยา ขับมาเที่ยวจากบุรีรัมย์ได้พูดคุยทักทายกันเล็กน้อย พอเราบอกว่าจะไปสามพันโบก
“โอ้...คุ้มแน่ๆได้เจอ สามแสนโบกด้วย “ แกพูดไปพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “ ทีแรกลุงก็ขับรถเที่ยวไปเรื่อยๆอยู่ดีๆพอไปเจอสามแสนพันโบกเท่านั้น จากทีคุยกันดีๆก็ทะเลาะกันซะงั้น “แกหันไปยิ้มให้กับภรรยาของแก
"ก็ลุงนั่นแหละ ขับลงหลุมตลอด" อาจารย์ผู้หญิงรีบอธิบาย พร้อมใช้มือตีที่แขนของสามีเบาๆ
“ก็มันไม่มีที่ให้หลบ"ลุงบอกกับพวกเรา"
"เอาหล่ะ ลุงต้องไปก่อนแล้วเที่ยวให้สนุกๆนะ โชคดีๆ”
“ครับ โชคดีเช่นกันครับ สวัสดีครับ “ พวกเราทั้งสี่ไหว้ลา แล้วก็ขับมอไซค์เลี้ยวซ้ายไปที่ผาแต้มต่อ ส่วนรถของคุณครูทั้งสองท่าน เลี้ยวขวากลับออกไปที่ถนนใหญ่ การเดินทางแค่ได้พูดคุยกับนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆหรือชาวท้องถิ่นเล็กๆน้อยๆก็ทำให้มีความสุขได้
บริเวณผาแต้มเป็นลานหินกว้างเลยครับ ฝั่งลาวตรงข้ามก็มีหน้าผาชันเหมือนกันครับ ผมเเอบสงสัย แล้วฝั่งนั้นไม่มีภาพเขียนสีบ้างหรือ ถามกับเจ้าหน้าที่ เขาบอกว่าไม่เห็นมีรายงานนะคงไม่มี
บ่ายสองโมงแล้ว เรารีบลงไปดูผาแต้มกันดีกว่า แต่ว่าแต่ละจุดนั้นไกลกันจริงๆ ภาพเขียนสีมีทั้งหมด 4 จุด 4 โซน เราไปได้แต่ 3 โซนเองก็หมดแรงซะแล้ว อันที่จริงเราว่าจะขับอ้อมไปทางศาลารับเสด็จเพื่อที่จะชม สุดที่4 เพราะเดินใกล้ๆ แต่เวลาของเราจะหมดแล้ว ไว้คราวหน้าถ้าได้มาอีกจะไปดูแค่จุดที่ 4 วันนี้เป้าหมายของเรายังอีกไกลนัก
บ่ายสามโมงเราออกจากอุทยานแห่งชาติผาแต้มมุ่งหน้าสู่สามพันโบกอันลือชื่อ แต่ก็ยังน้อยกว่าสามแสนโบกเสียอีก ถนนช่วงแรกค่อนข้างดีแต่พอเลย แถวๆ อบต.นาโพธิ์ไปแล้วทางจะมีดีสลับกับแย่ นั่นคือหลุ่มเต็มถนนไปหมด ไม่มีรูปนะครับ เพราะช่วงขับมอไซค์ต้องใช้สมาธิสูง(ที่จริงขี้เกียจ 555)
จากผาแต้มถึงหาดสลึงเราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง พอมาถึงเราก็รีบติดต่อเรือเพื่อที่จะไปชมสามพันโบกกันครับ เหมาลำ 1000 บาท เกือบห้าโมงเย็นแล้วเราก็นั่งเรือไปชมสามพันโบกกัน บรรยากาศตอนเย็นๆสบายดีจริงๆครับมีลมพัดเบาๆไม่ร้อนมาก
โบก เป็นภาษาลาว แปลว่า เเอ่งหรือหลุมครับ บนหินมีแอ่งขนาดเล็กขนาดใหญ่มากมายเลยครับ จึงได้เรียกที่นี่ว่า สามพันโบก เกิดจากการกัดเซาะของน้ำในฤดูน้ำหลาก
สามพันโบก ตั้งอยู่ที่บ้านโป่งเป้า ต.เหล่างาม อ.โพธิ์ไทร สมญานามที่เขาเรียกๆกัน แกรนด์แคนยอนเมืองไทย
หลังจากนั้นเราก็ไปกันต่อที่หินสีครับ หินที่นี่มันเงามากๆ ไปชมแจกัน กันด้วยครับ เหมือนมากจริงๆ (แต่ไม่มีรูปอีกแล้ว) บริเวณนี้เป็นบริเวณที่มีการเเกะสลักตัวเลขเพื่อวัดระดับน้ำ ในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามา
จากหินสีเราแวะอีกจุดหนึ่งคือ หาดหงส์ครับ ถ้ามาตอนกลางวันแสงคงสวยและร้อนเหมือนทะเลทรายจริงๆ เสียดายแต่ตอนเย็นฟ้าบิดเมฆฝนบังพระอาทิตย์เลยอดเห็นแสงยามเย็นสะท้อนบนผืนทรายเลยครับ
มุมนี้นั่งชมพระอาทิตย์ตกสวยมากๆ เเต่เีสียดายวันนี้พระอาทิตย์อาย เลยหลบอยู่หลังก้อนเมฆ.....
เกือบ 18.30 น.แล้วเรากลับกันดีกว่าครับ กลับมาถึงพวกเราก็ต้องขับมอไซค์ย้อนกลับไปที่ครัวสามพันโบกซึ่งห่างออกไปประมาณ 5 ก.ม.ครับ เราจะนอนเต็นท์กันที่นั่น ที่ครัวสามพันโบก เราขับออกมาก็มืดแล้วครับ ยิ่งต่างจังหวัดไฟข้างทางก็ไม่มียิ่งมืดเข้าไปใหญ่ครับทางก็ไม่ดีเป็นหลุมเต็มไปหมด ดีที่ยังมีรถชาวบ้านขับสวนมาเรื่อยๆเลยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยครับ ไม่งั้นเปลี่ยวมากๆ ถ้าขับมาคนเดียวคงไม่กล้าแน่ๆ ยิ่งเป็นคนมีจินตนาการสูงจะต้องเหลียวมองหลังตลอดแน่ๆ แต่โชคดีที่มีคนซ้อน 555
ติดตามชมต่อตอนที่ 2
http://krichpol-mynote.blogspot.com/2012/06/2.html#more
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น