+++ ให้สายลมพัดใจ...ไปซิ่งสองล้อ พ้อเมืองอุบล ( ตอนที่ 2 ) +++



จากเมื่อคืน เรามาถึงครัวสามพันโบกทุ่มกว่า มองไปรอบๆมืดไปหมดเพราะเป็นสวนมะขาม มีเพียงแสงสว่างจากร้านอาหารที่เปิดไว้ แต่ไม่มีใครอยู่เอาแล้วไงหล่ะ ทำไงหล่ะทีนี้ โทรติดต่อไปที่ อ.เรืองประทิน บอกกับอาจารย์ว่าพวกเรามาถึงแล้วแต่ไม่มีใครอยู่เลย อาจารย์บอกว่าเดี๋ยวจะโทรหาเจ้าหน้าที่ให้รอแป๊บหนึ่ง ผ่านไปประมาณ 2-3 นาทีอาจารย์โทรกลับมาบอกว่าเจ้าหน้าเอาข้าวไปให้พ่อที่บ้าน รอนานไม่เห็นพวกผมมาก็เลยเอาข้าวไปให้พ่อก่อนรอสัก 20 นาทีนะ พวกผมก็เลยเข้าไปนั่งรอให้ร้านอาหาร แล้วพร้อมเดินสำรวจรอบๆ มีห้องน้ำอยู่อาบน้ำได้ พวกเราก็เลยเปลี่ยนกันไปอาบน้ำกันก่อนดีกว่าไม่ไหวแล้ว เน่ามาทั้งวันแล้ว  ตะลอนๆตั้งแต่เช้าจนป่านนี้ พออาบน้ำเสร็จสบายตัวสุดๆไปเลย แล้วสักพักเจ้าหน้าที่ก็มาถึง ก็เลยบอกว่าถือวิสาสะ สำรวจพื้นที่แล้วก็อาบน้ำ “ไม่เป็นไร กินข้าวกันหรือยัง” พี่เจ้าหน้าที่ตอบกลับมา
“ยังเลยครับพี่ มีอะไรทานบ้างครับหิวมากๆเลย” พี่เขาก็เลยจัดแจงเอาเมนูมาให้ดู เราก็สั่งไปสี่ห้าอย่าง ไม่นานอาหารแสนอร่อยก็พร้อมเสิร์ฟ พวกเราทานกันอย่างเอร็ดอร่อย รสชาติอาหารอร่อยดีครับ โดยเฉพาะต้มยำปลาเนื้ออ่อนผมชอบเป็นพิเศษ

รูปเต๊นท์นอนของพวกเรามองออกไปเห็นสามพันโบกเลย ใครจะลงไปกางที่หาดทรายข้างล่างก็ได้นะครับ แต่พวกผมมาถึงมืดแล้วเลยเตรียมอะไรไม่ทัน


เช้าวันใหม่พวกเราตื่นขึ้นมาตอนตี 5 ฟ้าสว่างแล้ว พวกเราเดินลงไปชมสามพันโบกกันอีกครั้งจากครัวสามพันโบกสามารถเดินลงไปถึงสามพันโบกได้เลยครับ บรรยากาศเช้าๆ ช่วงนี้ใกล้จะปิดฤดูกาลแล้วคนไม่เยอะครับ



บรรยากาศตอนเช้าๆเย็นสบายดีมากๆเลยครับ.....นั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นบริเวณ สระมรกต ถ้ามาตอนกลางวันจะเห็นน้ำในโบกเป็นสีเขียวครับ เลยเรียกสระมรกต


เราเดินเล่นชมบรรยากาศสักพักครับบ....แล้วค่อยกลับขึ้นไป


หลังจากอาบน้ำและทานอาหารเช้าที่ครัวสามพันโบกกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาแปลงร่างเป็นเด็กแว๊นท์กันอีกแล้วครับ เราย้อนกลับไปทางเดิมครับ
จุดต่อไปที่เราไปเที่ยวคือหมู่บ้านผาชันครับ ก่อนถึงหมู่บ้านผาชันมีทางแยกลูกรังเข้าไป 600 ม.เพื่อชมเสาเฉลียงใหญ่บ้านผาชัน เราแวะไปชมกันก่อนครับ



เสาเฉลียงอีกอัน อยู่เลยขึ้นไปประมาณ 100 ม.


จากนั้นเราก็ไปขับเข้าไปในหมู่บ้านผาชันเพื่อชมผาริมโขงที่มาของชื่อหมู่บ้านผาชันครับสูงชันจริงๆ




ออกจากบ้านผาชันเราจะไปกันต่อที่ ผาชนะไดครับก่อนอื่นต้องตุนเสบียงกันก่อนเพราะข้างบนไม่มีอะไรให้กินครับ พร้อมทั้งเช่าเต๊นท์กับถุงนอนไปด้วย ติดต่อ อบต.นาโพธิ์ครับ แต่ปัจจุบันที่ด้านบนของอุทยานมีเต็นท์ให้เช่าแล้วนะครับ มีประมาณ สิบกว่าหลัง หลังหนึ่งนอนได้ 4-5 คน ไปถึงเศร้าเลยครับ เมื่อรู้ว่าข้างบนก็มีจะได้ไม่ต้องแบกมาจากข้างล่าง ราคาก็เท่ากัน หลังละ 250 บาท ถ้าหากใครสนใจลองโทรไปสอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนก็ได้นะครับ เพราะว่าบางทีช่วงนักท่องเที่ยวเยอะอาจจะไม่พอ โทรไปจองไว้ก่อน เบอร์โทรเจ้าหน้าที่นะครับ ชื่อพี่คำเพียร  087-8726499


เส้นทางขึ้นผาชนะได หลังจากสิ้นสุดทางลาดยางตรงวัดถ้ำปาฏิหารย์แล้ว ทางค่อนข้างลำบากทีเดียวครับ รถธรรมดาคงไม่เหมาะ ต้องเป็นรถกระบะยกสูงครับ หรือไม่ก็มอไซค์นี่แหละง่ายสุดครับ หรือถ้าใครมาเป็นหมู่คณะติดต่อรถเพื่อ รับ-ส่งได้ที่ อบต.ครับ ราคา 2500 บาท
พวกเราใช้เวลาในการขึ้นผาชนะได้จากถ้ำปาฏิหารย์จนถึงข้างบนกับระยะทาง 15 กม. ประมาณ 1.20 ชม.ครับ ทางสุดยอดมากๆ ถ้ามารถกระบะจะใช้เวลามากกว่านี้หน่อย มาถึงที่ทำการพวกเราก็นอนพักหลับสนิทเลยครับ จากบ่าย2 ถึงสี่โมงครึ่งลุกขึ้นไปชมผาชนะไดตอนเย็นกันดีกว่า



พระอาทิตย์กำลังตก....บริเวณผาชะนะได

บรรยากาศบนเขาที่มีเพียงพวกเราสี่คนกับเจ้าหน้าที่ เป็นอะไรที่สงบจริงๆไม่มีใครต้องให้มาแย่งกันถ่ายรูป เข้าห้องน้ำ แย่งกันชมวิว ไปเที่ยววันธรรมดามันก็ดีอย่างนี้แหละ แต่แอบเสียดายคราวหน้าถ้าได้มาอีกจะมาช่วงเดือนตุลาบ้างเพราะดูจากสภาพแล้วถ้ามาช่วงนั้นเป็นช่วงดอกไม้บานคงสวยงามมากๆ มองไปทางไหนก็เขียวชุ่มชื่น ดอกไม้ก็บานสะพรั่ง
กลับมาจากผาชะนะไดหลังพระอาทิตย์ตก เพื่อที่จะมากางเต๊นท์ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ไม่อยู่ครับ บนที่ทำการอุทยานมีเพียงเราสี่คนเท่านั้น มองไปทางไหนก็วังเวงไปหมด (อ้าวไหนว่าชอบหล่ะ สงบดี) “แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ เจ้าถิ่น อยู่มันก็โหวงเหวงเหมือนกันนะ อย่างน้อยก็ขอให้มีสักคนก็ยังดี

 
พวกเราตะโกนเรียกก็ไร้เสียงตอบรับใดๆ ป่าตอนกลางคืนมันสงัดดีจังมองไปรอบๆด้านหลังอาคารศูนย์บริการก็มีแต่ป่ารกชัฎ น่ากลัวไปหมด ดีนะที่มีสี่คนถ้าต้องอยู่คนเดียวคงหลอนแน่ๆ ว่าแล้วอย่ามัวแต่กลัวเลยรีบไปกางเต๊นท์กันก่อนมืดแล้ว พวกเราไปกางเต๊นท์กันบนลานหินกว้างห่างจากที่ทำการออกไปราว 80 ม.บนลานกว้างๆ ใช้ไฟจากมอเตอร์ไซค์ส่องแล้วกางเต๊นท์กัน ถือวิสาสะอีกแล้ว เขาไปหยิบมีด หยิบหม้อ และเทียนพรรษา ของพี่ๆเจ้าหน้าที่ เพื่อเอาไปใช้ หลังจากกางเต๊นท์เสร็จ ก็ก่อกองไฟท่ามกลางสายลมที่พัดค่อนข้างแรง ผมก็หยิบมีดขึ้นมาแล้วเจาะขวดน้ำ เจาะรู้ด้านล่างเพื่อเสียบเทียนที่เราซื้อกันมา ทำเป็นโคมไฟแล้วผูกไปรอบๆ แล้วพวกเราทั้งสี่ก็นั่งทานข้าวห่อ รอบกองไฟกัน แล้วก็ต้มมาม่าด้วย เสียดายที่ค่ำคืนนี้ฟ้าไร้ดาวพราว ไม่งั้นคงได้บรรยากาศสุดๆ เงยหน้าขึ้นมองฟ้ามีแต่เมฆมืดดำไปหมด พวกเรานั่งคุยกันรอบกองไฟที่ลุกโชนท่ามกลางความมืดที่รายล้อม ประมาณสองทุ่มกว่าๆเราก็เห็นแสงไฟวิ่งมาอย่างรวดเร็วจากป่าอีกฟากหนึ่ง เป็นแสงไฟจากรถมอไซค์ทีแรกเราก็นึกว่าพี่ๆเจ้าหน้าที่กลับมาแล้วที่ไหนได้ เป็นชาวบ้านสามสี่คนที่ขึ้นมาหาเห็ดมานอนบนนี้เพื่อจะได้ตื่นตอนตีสี่-ตีห้าเพื่อไปส่องหาเห็ดกัน แต่อย่างน้อยก็มีเพื่อนแล้ว โล่งอกไปที 555
พวกเราก็นั่งคุยนั่งเมาท์กันไปเรื่อยๆจนสามทุ่มกว่าๆ พวกพี่ๆเจ้าหน้าที่ก็กลับมา พวกเราจึงรีบไปหาแล้วบอกว่าหยิบยืมอะไรไปใช้บ้าง


เช้าตรู่เวลาประมาณตีห้าเศษ พวกเราก็รีบแหกขี้ตาตื่น แล้วออกไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ผาชะนะได วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นที่ผาชะนะไดเวลา 05.30 น.


บรรยากาศตอนเช้าๆกับอากาศเย็นๆ สดชื่นจริงๆครับ.......


อีกสักภาพก่อนกลับมาเตรียมตัวเพื่อลงไปที่อื่นต่อ



บริเวณหินเต่าชมจันทร์ ตอนขาขึ้นขี้เกียจแวะก็เลยแวะ่ขาลงแต่ว่าย้อนแสงอย่างแรง.........


ตอนขาลงเจอชาวบ้านหลายกลุ่มกำลังขึ้นมาเพื่อหาเก็บเห็ดกันครับ ช่วงนี้กำลังเยอะเลย....


ขาลงทำเวลาได้ดีกว่าใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง กับเส้นทางสุดหฤโหด....


หลังจากผ่านเส้นทางหฤโหดมา พวกเราก็เลี้ยวเข้าไปชมวัดถ้ำปาฏิหารย์กันครับ


เดินลงไปชมกันดีกว่าครับ ถ้ำปาฎิหารย์ถ้าจะชมต้องติดต่อกับทางวัดก่อนนะครับ เพราะล็อกประตูไว้แล้วอีกอย่างจะได้เปิดไฟให้ด้วยครับ แล้วก็บริจาคเป็นค่าไฟแทน ข้างในมีค้างคาวเยอะแยะเลยครับ


บริเวณด้านในครับ มีพระพุทธรูปมากมาย ถ้าปาฏิหารย์เดิมชื่อว่าถ้ำมืดครับ........


เจ้าหน้าที่บอกว่า ลึกประมาณ 300 ม. แต่มีอีกถ้ำหนึ่งที่ซ้อนอยู่ด้านล่างบริเวณปลายหางบันไดพญานาค พี่เขาเล่าว่าถ้ำนั้นยาวทะลุไปถึงแม่น้ำโขงครับ อันนี้ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหนชาวบ้านเล่าต่อๆกันมา


ขึ้นไปเที่ยวที่เจดีย์กันต่อครับ.........


ภาพอีกมุมครับ......


ออกจากวัดก็มุ่งหน้ากันต่อเลยครับ เส้นทางจากนี้สวยดีครับ เหมากับการขับรถเล่นชมวิวจริงๆ


อ้าว....แซงไปก่อนเลย...


เราแวะไปคืนเต๊นท์กับถุงนอนแล้วหาอะไรทานกันก่อนครับ ก่อนจะมุ่งหน้าต่อกันที่น้ำตกห้ัวยหลวง......ชมเถาวัลย์ยักษ์


น้ำตกน้ำน้อยมากๆเลยครับบ......เพราะฝนยังไม่ค่อยตกเท่าไหร่


หลังจากนั้นเราไปกันต่อที่น้ำตกแสงจันทร์ครับ (น้ำตกลงรู)


1 ใน UNseen ของเมืองไทยครับ น้ำก็น้อยเหมือนกัน


มุมจากด้านบนบริเวณที่สายน้ำตกลงไปในรูครับ.....


เรานั่งพักที่น้ำตกลงรู และคิดว่าจะไปที่ไหนกันต่อดีเพราะว่า น้ำตกสร้อยสวรรค์ที่ เราว่าจะไปพี่เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่มีน้ำเลย เอาไงต่อดีหล่ะ น้องปอบอกว่า เราไปเที่ยวชมเขื่อนสิรินธรกันดีกว่ายังไม่เคยเห็น โอเคงั้นเราย้อนกลับไปทางโขงเจียมกัน จะได้ย้อนกลับไปชมแก่งสะพือด้วย ทีแรกกะว่าจะวนกลับไปทาง อ.ตระการฯ แต่ไม่ไปแล้ว ยังไม่ทันจะออกจากน้ำตกลงรูเลย สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาเล็ก
น้อยแล้ว พวกเราจึงรีบบึ่งออกเดินทางกันต่อ ครับ ตลอดเส้นจากน้ำตกมาถึงโขงเจียมฝนตกตลอดทางเลยครับ แต่ไม่หนักมาก



พวกเราก็ฝ่าสายฝนกันมาอย่างชุ่มฉ่ำ...แวะชมที่เขื่อนเล็กน้อยก็ออกมาที่แก่งสะพือกัน..


นั่งพักเหนื่อยกันก่อนครับแล้วค่อยออกเดินทางกันต่อหลังจากนี้เราจะเข้าเมืองกันแล้ว


ข้าเมืองมาก็แวะไปหาซื้อของฝากและก็ทานก๊วยจับที่ขึ้นชื่อกันหน่อยครับ หลังจากนั้นประมาณ 17.30 น. เราก็เข้าไปที่สนามบินเพื่อรอขึ้นเครื่องไฟลท์ 20.45 น. หลังจากคืนรถกันเรียบร้อยแล้วเราก็เข้าไปนั่งรอข้างในสนามบินกันครับ เพื่อล้างหน้าล้างตาด้วย สภาพดูไม่ไหวจริงๆ ลุยกันมาอย่างหนักหน่วง พอเข้าสนามบินได้ไม่นาน พายุฝนก็เทกระหน่ำลงมาเลยครับ ไฟที่สนามบินดับไปสักครู่จนต้องใช้ไฟสำรอง ลมแรงมากๆครับ ในที่สุด ไฟลท์่ของเราก็ดีเลย์ 3 ชั่วโมง ......เต็มที่จริงๆ


ทริปของพวกเราทั้ง 4 คนในครั้งนี้สนุกมากจริงๆครับ มีค่าเสียหายไปทั้งหมด คนละ 1920 บาท
สุดคุ้มมากๆ

สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาชมและทักทายนะครับ
แล้วเจอกันทริปหน้านะครับ....


พระอาทิตย์ขึ้นที่ผาชะนะได.......



พลเอก..................






ความคิดเห็น

  1. ไม่ระบุชื่อ27 มกราคม 2556 เวลา 10:57

    เคยไปมาแล้วใช้รถกระบะไปได้ครึ่งทางกลัวตกเหวก้เลยกลับ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 สวนดอกไม้ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น (ที่ไม่ไกลจาก Tokyo)

Trip in japan : kamikochi คามิโคจิ ความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ใจกลางเจแปนแอลป์ (Matsumoto)

Zao Snow Monsters ทุ่งปีศาจหิมะที่ซาโอะ