+++ เกาะหลีเป๊ะ ทะเลอันดามันที่ใครๆก็ฝันอยากจะไป (ตอนที่ 1) +++

เมื่อกล่าวถึงเกาะหลีเป๊ะ ช่วงนี้เป็นช่วงที่พีคมากๆ มีการพูดถึงอยู่ตลอดและผู้คนต่างก็เดินทางไปเที่ยวอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เป็นจุดหมายที่ใครหลายๆ คนใฝ่ฝันที่จะได้ไปสัมผัสสักครั้งหนึ่ง ดินแดนอันดับต้นๆ ที่ได้รับคำชม เลื่องชื่่อ " ความงาม ของท้องทะเลไทย "
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น อันที่จริงผมเคยได้มีโอกาสไปเที่ยวเกาะตะรุเตาและเกาะไข่มาแล้ว แต่ว่ายังไม่เคยไปถึงเกาะหลีเป๊ะเลยสักครั้ง ครั้งนี้มีโอกาสแล้วก็ไม่ยอมพลาดที่จะรีบฉวยโอกาสอันงาม
การเดินทางครั้งใหม่ได้เริ่มต้นอีกครั้ง พร้อมกับเพื่อนๆสมาชิกทั้งหมด 7 คน สู่ดินแดนหมู่เกาะอันเป็นสุดท้ายปลายสุดของน่านน้ำไทย ทะเลอันดามัน
พวกเราทั้งหมดออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิสู่ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ ทะยานสู่ท้องฟ้าอันกว้างไพศาล ด้วยอินทรีย์เหล็กยักษ์ขนาดใหญ่ "เหินเวหา บนท้องนภา ช่างดูน่าอิสระยิ่ง"
ผ่านไปชั่วโมงนิดๆพวกเราก็เดินทางมาถึง ท่าอาศยานนานาชาติหาดใหญ่กันแล้วครับ เครื่องบินกำลัง แลนด์ดิ้งและลดความเร็วลง เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเยือนที่แห่งนี้ครับ
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินออกจากสนามบินเพื่อไปขึ้นรถตู้ที่ได้ติดต่อไว้แล้ว ราคารถรับ-ส่ง สนามบินบวกค่าเรือไป-กลับ 1200 บาท การเดินทางของพวกเราในครั้งนี้จะสนุกหรือไม่ ผมเองก็แอบคิดกังวลเล็กน้อย เพราะกลัวว่าเพื่อนบางคนจะเหนื่อยเกินไป แล้วทำให้ไม่สนุก กลัวว่าเขาจะเที่ยวแบบ แอดเวนเจอร์ไม่ได้ ถึงแม้จะแค่เล็กน้อยแต่ก็ยังแิอบหวั่น
จากท่าอากาศยานหาดใหญ่ มาท่าเรือปากบาราใช้เวลาในการเดินทางประมาณ เกือบ 2 ชั่วโมง ในที่สุดเราก็มาถึงท่าเรือแล้วครับ บริเวณด้านหน้าของท่าเรือมีร้านอาหารหลายร้าน และก็มีเซเว่นด้วย เผื่อใครยังขาดอุปกรณ์ส่วนตัวอะไรก็สามารถหาซื้อได้เลยครับ ส่วนพวกผมของใช้ส่วนตัวต่างๆไม่ได้เอามากันเลยต้องซื้อใหม่หมด
เรือของพวกเราออกเวลา 11.30 น. หลังจากทานข้าวมื้อเช้าและซื้อของจำเป็นต่างๆเรียบร้อยแล้ว ก็ใกล้ได้เวลาที่พวกเราจะออกเดินทางกันต่อแล้วด้วยเรือเฟอรี่
เฟอรี่ลำนี้เลยครับ ที่จะำพาพวกเราเดินทางไปยังเกาะหลีเป๊ะ ข้างในเป็นห้องแอร์เย็นๆสบายๆ
แต่พวกเรากลับชอบความลำบากครับ ขึ้นไปนั่งกันบนดาดฟ้าเรือกัน ข้างบนลมแรงมากๆ แถมแดดยังร้อนอีกด้วย แต่ความสดชื่นกับกลิ่นธรรมชาติมีเต็มที่ครับ ใช่ว่าจะมีแต่พวกเราที่ชอบมานั่งบนนี้
เพียงไม่นานพวกเราก็เดินทางมาถึงจุดแรกเเล้วครับ นั่นก็คือเกาะตะรุเตา ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะตะรุเตา เรือแวะจอดที่นี่ประมาณ 20 นาทีครับ ใครอยากจะลงไปชมและถ่ายรูปก็ได้เลยครับ แต่ว่าผมเคยมาที่นี่แล้วก็เลยไม่อยากลงไปครับ ของรออยู่บนเรือดีกว่า
หลังจากออกเดินทางจากเกาะตะรุเตามาพักหนึ่งเราก็มาถึงเกาะไข่กันแล้วครับ ซึ่งที่นี่มีซุ้มประตูหินโค้ง และเป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดสตูลด้วย เกาะไข่เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ใกล้ๆกับเกาะกลาง เป็นเกาะที่อยู่ระหว่างเกาะตะรุเตา และ หมู่เกาะอาดัง ราวี
ออกจากเกาะไข่มาประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็เดินทางมาถึงเกาะหลีเป๊ะกันแล้วครับ สวยงามมากๆ น้ำใสสุดๆไปเลย แต่พวกเราไม่ได้นอนที่นี่กันนะครับ สำหรับคืนนี้ืเราจะไปนอนกันที่เกาะอาดังกัน เลยต้องนั่งเรืออ้อมเกาะหลีเป๊ะ ไปต่ออีกเล็กน้อย
น้ำใสๆ บริเวณหน้าหาดซันไรซ์ระหว่างทางไปเกาะอาดัง
บริเวณตรงนี้ช่วงที่ผ่านน้ำค่อนข้างตื้น เรือก็ขับช้าๆเบาๆครับ มีเด็กๆมาดำน้ำจับปลากันด้วยครับ ดูท่าจะสนุกมากๆ เห็นดำผุดดำว่ายจับปลากันใหญ่
ถึงเกาะอาดัง ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยอุทยาน พวกเราก็ไปติดต่อที่พัก ซึ่งจองไว้เป็นเรือนแถวราคาห้องละ 400 บาท จองไว้ 2 ห้อง ครับ
เก็บข้าวของสัมภาระกันเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ไปเดินเที่ยวชมจุดชมวิวผาชะโดกันครับทางขึ้นจะอยู่ทางตะวันออกของหน่วยอุทยานครับ
จุดชมผิวผาชะโด มีทั้่งหมด 3 จุด แต่ละจุดก็มองเห็นวิวพอๆกันครับ สงสารเพื่อนๆที่มาด้วยจังครับ ท่าทางจะเหนื่อยกันน่าดู
ลองซูมดูใกล้ๆ ครับ ที่นี่ืเป็นจุดชมเกาะหลีเป๊ะที่สวยงามมากๆครับ ด้านหน้านั้นคือเกาะหลีเป๊ะ เป็นเกาะที่ได้รับการอนุโลมให้ชาวเกาะได้อาศัยอยู่ แต่ปัจจุบันเต็มไปด้วยรีสอร์ทครับ
เพื่อนๆพากันเดินขึ้นไปถึงแค่ จุดที่2 กันเท่านั้น ครับ ส่วนผมนั้นขอไปให้ถึงจุดที่3 จะุได้รู้ไปเลยว่ามันต่างกันอย่างไร ปรากฏว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่เลยครับ แต่ยังไงมาเเล้วก็ต้องให้ถึงครับ ไม่นานก็เห็นพี่โจตามขึ้นมาครับ บอกว่าอยากมาให้ถึงเหมือนกัน
เตรียมตัวลงจากจุดชมวิวกันแล้วครับ เย็นมากเเล้วเดี๋ยวเราลงไปเดินเล่นที่ชายหาดกับบรรยากาศตอนเย็นๆกันดีกว่า
บรรยากาศตอนเย็นๆเดินเล่นบริเวณชายหาดเป็นอะไรที่เพลิดเพลินมากๆครับ แดดไม่ร้อน ลมพัดเย็นๆสบายๆ
โชว์ความแข็งแกร่งของต้นขากันหน่อยครับ หลังเดินลงมาจากจุดชมวิว

เสียดายที่อดเห็นพระอาทิตย์ตกเลยครับ เพราะว่าแหลมของเกาะบังไปเล็กน้อย
เดินเล่นชมบรรยากาศริมหาดตอนเย็นๆมันเป็นอะไรที่สุขใจสุดๆไปเลยครับ หลังจากพระอาทิตย์ตกเราก็ลงไปเล่นน้ำกันครับ ช่วงเวลาแห่งความสุขอีกวันได้เลื่อนผ่านไปแล้ว
เช้าวันใหม่ พระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นตรงเส้นของฟ้า สาดแสงสีทองอำไพสว่างไสว พวกเราพากันตื่นตั้งแต่ ตีห้าครึ่งเพื่อที่จะออกมาชื่นชมกับความงามของยามเช้า
แสงสีทองส่องระยิบระยับบนท้องทะเลกว้าง  สุดปลายทางค้นหาความงามของความหมาย ได้เวลาที่ความสุขจะผ่านเข้ามาอีกวันแล้ว วันนี้เรามีโปรแกรมทัวร์กัน
แต่ก่อนที่จะไปเริ่มต้นโปรแกรมต่างๆในวันนี้ ก็ต้องซึมซับกับบรรยากาศอันแสนอบอุ่นจากแสงแดดยามรุ่งอรุณกันก่อนครับบ
บนเินินทรายกว้างปลายแหลมเกาะ เหมาะมากๆกับการมาเดินเล่นสงบๆ อย่างมีความสุข ทั้งในยามเช้าและยามค่ำื่คืน ตรงนี้เป็นจุดที่ผมชอบมากที่สุดของทริปนี้เลยครับ ยามเช้าแสงแดดอุ่นๆสดใส ยามเย็นสายลมไหวๆเหงาๆ ค่ำคืนหมู่ดาวงามพร่างพราว ปล่อยใจให้เพลิดเพลินได้ทุกเวลา
เห็นปูเสฉวนแล้วก็อดขำไม่ได้ครับ มีเพื่อนอยู่ 2 คน ผึ้งกับเต้ เขาจับมันมาและบอกเราอย่างมั่นใจมากๆ " นี่ไงๆ ปูลม น่ารักดีเนอะ " ผมกลั้นหัวเราะเอาไว้แล้วบอกกลับไปนี่นะปูเสฉวน ตอนแรกก็ไม่เชื่อจนต้องย้ำหลายครั้ง
หลังจากเก็บข้าวของสัมภาระ รับประทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางไปดำน้ำกันตามเกาะแก่งต่างๆ ซึ่งจุดแรกที่พวกเราแวะนั่นก็คือ ร่องน้ำจาบัง เป็นจุดชมปะการังอ่อนเจ็ดสี
สวยงามมากๆเลยครับ แต่ว่ากระแสน้ำก็แรงพอๆกัน ลงไปพัดปลิ้วเลยครับ จับเชือกแทบไม่ทัน พวกเราเลยได้ดำดูเพียงเล็กน้อยก็กลับขึ้นเรือครับ
แล้วพวกเราก็ไปดำน้ำกันต่อที่เกาะหินงามครับ มีปลาการ์ตูนนีโม่ด้วย แต่ว่าปลาอื่นๆไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่และปะการังก็ไม่ค่อยสวยครับ ดีตรงที่น้ำนิ่งดำดูกันเพลินเลย

ใครๆมาที่นี่ก็ต้องตั้งหินเรียงซ้อนเต็มไปหมด อย่าว่าแต่ที่นี่เลย ที่ท่องเที่ยวหลายๆที่ก็เป็นเหมือนกัน หินที่นี่ดำเกลี้ยงกลมเงาสวยงามมาก  ยิ่งเวลาเปียกน้ำแล้วกระทบกับแสงแดดเป็นประกายแวววาว
เราอยู่บนเกาะไม่นานครับ เพราะว่าร้อนมากๆ เลยไปกันต่อครับ ที่ต่อไปที่พวกเราจะไปคือ เกาะหินซ้อน เกาะสุดท้่ายปลายสุด ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการเดินทางจากเกาะหินงามครับ
พี่สมานกัปตันเรือของเราพาวนไปชมรอบๆเกาะหินซ้อนกันก่อนแล้วก็กลับมาดำน้ำตรงร่องน้ำหินซ้อนกัน ตรงบริเวณนี้ก็มีปะการังอ่อนเจ็ดสีด้วย และน้ำก็นิ่งๆ สวยงามมากๆเลยครับ ดำน้ำชมกันเพลินเลย ผมว่าปะการังอ่อนเยอะกว่าตรงร่องน้ำจาบังอีกครับ
พวกเราดำผุดดำว่ายน้ำกันอย่างเพลิดเพลิน พี่สมานก็นั่งตกหมึกรอพวกเราได้ตั้ง 3 ตัวแนะ เวลาผ่านไปจนเลยเที่ยงวันแล้ว ก็เริ่มหิวข้าวแล้วหล่ะครับ ใช้พลังงานไปเยอะมาก แต่ว่าเราจะไปพักทานข้าวกันที่เกาะรอกลอย เดี๋ยวต้องเดินทางกันต่อ และยังมีอีกหลายเกาะที่ต้องไป ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อนั้น


 ติดตามกันต่อใน (Part 2)

http://krichpol-mynote.blogspot.com/2012/04/2.html


สวัสดีครับ


พลเอก........














ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 สวนดอกไม้ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น (ที่ไม่ไกลจาก Tokyo)

Trip in japan : kamikochi คามิโคจิ ความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ใจกลางเจแปนแอลป์ (Matsumoto)

Zao Snow Monsters ทุ่งปีศาจหิมะที่ซาโอะ