+++ เกาะหลีเป๊ะ ทะเลอันดามันที่ใครๆก็ฝันอยากจะไป (ตอนที่ 2) +++



เริ่มต้นกันต่อกับการเดินทางสู่ อาณาจักรแห่งหมู่เกาะ ปลายสุดแห่งน่านน้ำ สุดขอบฟ้า หมู่เกาะอาดัง ราวี ความเดิมที่แล้วพวกเราดำน้ำกันที่ร่องน้ำหินซ้ัอนกันอย่างสนุกสนาน พวกเราก็ออกเดินทางกันต่อก่อนที่จะทานข้าวเราแวะไปดำน้ำกันอีกที่ครับ นั่นก็คือเกาะไผ่ เกาะไผ่เป็นจุดชมดอกไม้ทะเลครับ ที่นี่ดอกไม้ทะเลเยอะมากๆ แต่ปลาการ์ตูนไม่ค่อยเยอะแหะ มันแปลกๆ


หลังจากนั้นก็ได้เวลาไปทานข้าวกันแล้วครับ ตอนนี้หิวจนหน้ามืดกันแล้วครับ บนเกาะรอกลอยเป็นเกาะขนาดเล็ก อยู่ติดกับเกาะผึ้งฝั่งตะวันออก ที่นี่จะมีหาดทรายขาวๆน้ำใสๆครับ สามสาวกระโดดลงไปเล่นน้ำทันทีที่ถึงเกาะ ลืมหิวข้าวไปเลย

ที่นี่จะเป็นจุดแวะทานข้าวกันครับ ไม่มีขายนะครับ ต้องเตรียมข้าวกลางวันกันมาเองครับ ซึ่งพวกผมก็ได้สั่งมาจากบนเกาะอาดังเรียบร้อยแล้ว

เติมพลังกันซะก่อนค่อยไปกันต่อครับบ ทานข้าวท่ามกลางทะเลที่รายล้อมก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบครับ พวกเราไปหาโขดหินเหมาะๆแล้วนั่งทานข้าวกัน (อย่าลืมเก็บขยะกลับด้วยนะครับ)

บริเวณจุดชมวิวหลังเกาะครับ เป็นสะพานไม้สั้นๆ มองไปด้านตะวันออกเห็นเกาะอาดังอยู่ลิบๆนั่นครับ

ที่นี่ยังมีจุดเด่นอีกอย่างนั่นก็คือ ชิงช้าครับ ใครๆมาก็ต้องถ่ายกัน แต่ว่าไม่มีมาให้ชมครับ เพราะแต่ละรูปนั่นไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ ไม่ได้ถ่ายรูปชิงช้าเดี่ยวๆมาเลย

ที่ต่อไปที่พวกเราอยากจะไปก็คือเกาะผึ้งครับ แต่ี่พี่สมานบอกว่าวันนี้น้ำแรงมากเลยอดไปครับ น่าเสียดาย เอาไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสอีกจะแวะไปให้ได้ครับ

เมื่อตรงเกาะผึ้งเราไปไม่ได้แล้วก็ไปกันต่อที่เกาะราวีกันเลยครับบ ด้านหน้านั่นก็เกาะราวีที่เราจะไปกัน

จากเกาะรอกลอยมาเกาะราวีใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงครับ เพราะว่าที่ตั้งหน่วยอุทยานนั้นจะอยู่ที่ปลายแหลมฝั่งที่ตรงข้ามกับเกาะอาดังครับ ก็เลยต้องนั่งเรือวนกลับมาไกลหน่อย


ครึ่งชั่วโมงนี้เป็นครึ่งชั่วโมงที่หลับเป็นตายกันจริงๆครับบ หลับสนิทจริงๆ ไม่รู้หลับไปได้อย่่างไร คงจะเพราะว่าเหนื่อยกัน แต่ละคนไม่เป็นสภาพเลยครับ รู้สึกตัวอีกทีก็ถึงเกาะราวีแล้ว

เกาะราวีเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของ อุทยานแ่ห่งชาติตะรุเตาครับ รองจากเกาะตะรุเตา และอาดัง หาดทรายที่นี่ขาวมากๆครับ มาถึงพี่เขาบอกว่าที่นี่มีส้มตำขายด้วย กำลังเปรี้ยวปากอยากกินของแซ่บๆพอดี เราไปสั่งทานกันดีกว่าครับ

บนเกาะราวีเป็นที่ตั้งหน่วยอุทยาน สามารถมากางเต๊นท์นอนได้ครับ บรรยากาศสงบมากๆ ที่นี่มีอาหารและน้ำขายด้วย หลังจากทานส้มตำและเดินเล่นถ่ายรูปกันเรียบร้อยแล้วเราก็ไปกันต่อเลยครับ

จุดหมายสุดท้ายของพวกเราในวันนี้ก็คือ เกาะยางครับ ที่นี่เป็นจุดชมปะการังกะหล่ำปลีดอกใหญ่สวยมากๆเลยครับ ดอกใหญ่มากๆ เพื่อนบอกว่าเหมือนดอกกุหลาบเลย เสียตรงวันนี้คลื่นสูงไปหน่อยครับ แถมแตนทะเลก็เยอะด้วย เจ็บๆคันไปทั้งตัวเลย ดำได้ไม่นานก็ต้องรีบขึ้นเรือกัน

จากเกาะยางเราก็เดินทางกลับสู่ที่พักของพวกเราในค่ำคืนนี้ครับ พวกเราพักกันที่บันดาหยารีสอร์ท ฝั่งหาดพัทยาครับ หลังจากเช็คอินเรียบร้อยพวกเราก็เดินไปเล่นน้ำฝั่งรีสอร์ทชื่อดังกันครับ ฝั่งนี้สวยจริงๆครับ มองเห็นพระอาทิตย์ตกได้สวยมากๆ

แล้วพวกเราก็ไปเล่นน้ำกันต่อครับ ถามว่าทั้งวันยังไม่พออีกเหรอ ตอบว่าไม่ครับ เพราะบริเวณนี้หาดขาวๆน้ำใสๆมากๆ ตรงบริเวณกลางทะเลไปหน่อยมีเินินทรายสามารถเดินไปเล่นน้ำตรงนั้นได้ครับ

พระอาทิตย์ใกล้จะลาลับแล้ว พวกเราก็พากันเดินขึ้นมาจากเินินทรายกลางทะเล ขอรูปท่ากระโดดสักหน่อย บรรยากาศเย็นๆแบบนี้ผู้คนมานั่งรอชมพระอาทิตย์ตกกันเต็มหาดเลยครับ

ท่ากางแขนกางขากันบ้าง กับมุมเดิมๆ เริ่มจะหนาวกันแล้วซิครับ

อีกสักช็อตแล้วค่อยเดินกลับที่พักไปอาบน้ำอาบท่า กินข้าวกัน แล้วก็ออกไปเดินเล่นที่ วอร์คกิ้งสตรีท กลับมานอนชมดาวกันที่บริเวณหน้ารีสอร์ทครับ ดาวดวงนั้นยังคงแจ่มชัดเหมือนเดิม ที่ท้องฟ้ากว้าง ไม่มีเมฆบัง ไม่มีฝนตก มีแต่ลมที่พัดเอื่อยๆ กับเสียงคลื่นที่ซัดสาดกับชายหาดที่เนียนนุ่ม

ผ่านไปอีกค่ำคืนกับเรื่องราวความสุข(บวกผจญภัยเล็กน้อย) สู่เช้าวันใหม่ ที่สว่างไสว เช้าวันนี้พวกเราเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกันที่หาดซันไรซ์ครับ

วันนี้มีเพียงผม แหม่ม พี่โจ และพี่นา ที่มาชมกัน ส่วนคนอื่นๆขอนอนพักต่อดีกว่าไม่ว่ากันครับ เพราะว่าเมื่อวานเหนื่่อยกันมากๆ และยังต้องเหนื่อยอีกเยอะครับ

เดินไปถึงช่วงแรกๆไม่มีใครเลยครับ มีเพียงพวกเราสี่คนเท่านั้น แต่พอสักพักนักท่องเที่ยวก็เริ่มทยอยเดินออกมากัน พร้อมๆกับพระอาทิตย์ที่ค่อยๆโผล่ขึ้นมาอย่างช้าๆ

มีหลายคนมาวิ่งออกกำลังกายกันตอนเช้าด้วย เรานั่งได้สักพักประมาณเกือบเจ็ดโมงเช้าแล้วเราก็เดินกลับรีสอร์ทกันครับ เพราะว่าต้องรีบไปอาบน้ำเก็บข้าวเก็บของ แล้วไปทานอาหารเช้่ากัน วันนี้เราต้องเปลี่ยนที่พักกันอีกแล้วครับ

จากหาดซันไรซ์เดินกลับไปที่หาดพัทยาใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีครับ แป๊บเดียวเช้าๆแบบนี้ไม่ชาวบ้านออกมาเปิดร้านขายของกันบ้างแล้วหล่ะครับ

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ พวกเราก็ไปนั่งรอที่จะขึ้นเรือกันที่หน้ารีสอร์ท


เรือจำนวนมากมารอรับนักท่องเที่ยวเต็มหาดเลย แต่วันนี้เราไม่ได้ไปเที่ยวเกาะครับ เราจะเดินทางกลับกันแล้ว เพราะว่าจุดหมายต่อไปของเราก็คือไปล่องแก่งกันครับ

11.00 น. เราเดินทางกลับมาถึงท่าเรือ ก็มีพี่ๆจาก อิสระล่องแก่งมารอรับครับ เราซื้อทัวร์กับที่นี่เอาไว้ คนละ 900 บาท เป็นที่พักแบบโฺฮมเสตย์ บวกอาหาร 3 มื้อ ล่องแก่ง ชมน้ำตก ไปเที่ยวถ้ำภูผาเพชร พร้อมรับ-ส่งที่ท่าเรือครับ คุ้มมากๆ

ไปล่องแก่งกันเลยครับ ดูแม่น้ำที่เราจะล่องแก่งกันวันนี้ครับ

พร้อมแล้วลุยกันเลยครับ ใช้เวลาในการล่องแก่งประมาณ 2 ชั่วโมง จากจุดเริ่มต้นไปสิ้นสุดที่ปากทางเข้าถ้ำเจ็ดคตครับ พวกเราก็เลยเดินไปชมถ้ำกันเล็กน้อย ข้างในมืดมากๆไม่มีทัวร์พาเที่ยวชมครับ


หลังจากล่องแก่งเราก็ไปเที่ยวกันต่อที่น้ำตกวังทรายทองครับ ไม่ประทับใจอย่างแรงครับ ขยะเต็มไปหมดครับ มีทุกจุดเลยทีเดียวถังขยะก็อยู่ใกล้ๆแต่ไม่มีใครทิ้งลง ชาวบ้านพากันเอาอาหารไปนั่งกินเต็มน้ำตกไปหมดครับ อยู่ไม่นานเราก็กลับมาเล่นน้ำกันหน้าที่พักกันดีกว่า

เช้าวันใหม่นี้เราตื่นเช้าอีกแล้วครับ หลังจากทานข้าวเสร็จเราก็ไปเที่ยวกันต่อที่ ถ้ำภูผาเพชรครับ ปากทางเข้าถ้ำเล็กนิดเดียว ต้องลอดกันไป เป็นทางที่ชาวบ้านเจาะขึ้นครับ ทางเดิมนั้นเล็กเหมือนกันแต่เข้าค่อนข้้างลำบาก

ถ้ำภูผาเพชรเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยครับ มีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ ข้างในใหญ่โตกว้างขวางมากๆครับ แบ่งเป็นทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นแรก เป็นถ้ำคงคาลอด เป็นถ้ำที่มีลำธารไหลผ่าน ไม่อนุญาตให้เข้าชม ชั้นที่2 เป็นชั้นที่เปิดให้เข้าชมครับ แต่เปิดเพียง 1ในสามส่วนเท่านั้น ส่วนชั้นที่3 เป็นชั้นที่พบโครงกระดูก  ภาพเขียนสี หม้อไหถ้วยชามโบราณ ยังไม่เิปิดให้เข้าชม

เพียงแค่หนึ่งส่วนของชั้น 2 ก็ใช้เวลาในการเดินชมประมาณ 2 ชั่วโมงแล้วครับ บริเวณนี้เป็นลานสระมรกต เวลาที่แสงแดดส่องกระทบกับตะไคร้น้ำจะประกายเป็นสีเขียวครับ เสียดายตอนที่เราไปไม่เห็นครับ พี่เจ้าหน้าที่ยังบอกอีกว่าในช่วงเดือน เมษายน เวลาประมาณบ่าย 3 ถึง 4 โมงเย็น จะมีแสงอาทิตย์ส่องลงมาแล้วสะท้อนเข้าไปในถ้ำทำให้สว่างไสวสวยงามมากๆ

เหนื่อยกันแล้วก็ได้เวลากลับออกมาจากถ้ำแล้วหล่ะครับ เรานั่งรถตู้กลับหาดใหญ่ ดีอย่างหนึ่งผึ้งเป็นคนหาดใหญ่ครับ เลยได้อานิสงค์ในการเที่ยว นั่นคือ พ่อและเพื่อนของผึ้งขับรถพาไปเที่ยวที่สงขลาครับ จุดแรกเลยนั้น คือ ข้ามไปเกาะยอและ สะพานติณฯครับ


หลังจากนั้นก็ไปชมพญานาคพ่นน้ำกันต่อ..........เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองสงขลาครับ

เจอกับหัวพญานาคแล้วเราก็ต้องไปตามหาลำตัวครับ ซึ่งอยู่ห่างจากส่วนหัวประมาณ 1 กม.ครับก่อนถึงแหลมสมิหลา

หลังจากนั้นเราก็ลงจากรถไปเดินเล่นริมชายหาดแหลมสมิหลากัน

อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองสงขลาครับ นั่นก็คือ รูปปั้นนางเงือกครับ

เดินขึ้นไปต่อตามเส้นทางที่จะไปทางเก้าเส้ง ไม่นานเราก็จะเจอกับส่วนหางของพญานาคครับ แต่ละจุดห่างกันเป็นกิโลเลยครับ

บรรยากาศริมหาดสมิหลาในช่วงเย็นๆเต็มไปด้วยผู้คนที่มาจับจองพื้นที่นั่งปิกนิกทานข้าวกัน เต็มไปหมดครับ แต่บริเวณนี้ดีหน่อยค่อนข้างสงบ

ห้าโมงกว่าๆแล้ว พ่อพาพวกเราเดินทางกลับมาที่หาดใหญ่เพื่อที่จะขึ้นไปยังจุดชมวิวบนเขาคอหงษ์ เป็นจุดชมเมืองหาดใหญ่ บริเวณพระพุทธมงคลมหาราช มีคนมานั่งชมพระอาทิตย์ตกกันเยอะเลยครับ เสียดายที่เรามาไม่ทันครับ พระอาทิตย์เพิ่งตกไปไม่นาน

หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับไปที่บ้านผึ้งเพื่อเก็บข้าวของกันครับ พวกเราจะกลับกรุงเทพฯไฟลท์สุดท้าย ตลอดทั้งทริปไม่เจอฝนมาเจอเอาตอนที่กำลังนั่งรถมาสนามบินครับ ถือว่าโชคดีครับ ทำให้เราได้เที่ยวอย่างสนุกสนานและแม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ไม่มีฝนเป็นอุปสรรคเพียงแค่มาทักทายก่อนที่เราจะกลับเท่านั้น ต้องขอขอบคุณคุณพ่อและเพื่อนของผึ้งที่พาเราเที่ยววันนี้ด้วยครับ

น้ำทะเลใสๆหน้าหาดซันไรซ์อีกสักภาพครับก่อนจบทริปครั้งนี้


ปิดท้ายทริปการเดินทางที่สนุกสนานและ เหน็ดเหนื่อยครั้งนี้...ด้วยภาพวิวจากจุดชมวิวผาชะโดครับขอบคุณเพื่อนๆร่วม ทริปที่สร้างสีสันและความทรงจำดีๆให้เกิดขึ้น กับทริป "เกาะหลี่เป๊ะ หมู่เกาะสุดน่านน้ำ สุดปลายฟ้า " ขอบคุณเครดิตบางภาพจากเพื่อนๆครับ 

และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน แล้วพบกันทริปหน้าครับ


สวัสดีครับ



พลเอก........























ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 สวนดอกไม้ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น (ที่ไม่ไกลจาก Tokyo)

Trip in Japan : เที่ยวกำแพงหิมะ เมืองโทยามะ ตอน ดินแดนฮาโตริ เมืองฮิมิ กำแพงหิมะบนอัลไพท์รูท (Himi Tateyama)

Trip in japan : kamikochi คามิโคจิ ความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ใจกลางเจแปนแอลป์ (Matsumoto)