Trip in Japan : ท่องดินแดนมรดกโลก ชมใบ้ไม้เปลี่ยนสี ที่นิกโก้ (Nikko)
สวัสดีครับ วันนี้จะพาไปเที่ยวนิกโกะกันครับ นิกโกะ(Nikko) เป็นหนึ่งในมรดกโลกของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมืองนิกโกะ จังหวัดโทจิหงิ อยู่ทางทิศเหนือของกรุงโตเกียวห่างออกไปประมาณราว 140 กิโลเมตรครับ
สำหรับทริปนี้ไปสองวันครับ วันแรกไปกันสองคน พักที่โทจิหงิ(ห้องเพื่อน) แล้ววันที่สองก็ไปกันสี่คนครับ
วันแรกของการเดินทางผมกับเพื่อนสองคนไปขึ้นรถไฟกันที่สถานีอะซะคุสะ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับ
วัดอะซะกุสะที่มีชื่อเสียงนั่นเลยครับ จากสถานีอะซะกุสะ มานิกโกะใช้เวลาประมาณสองชั่่วโมงนิดๆครับ
แต่ว่าเราสองคนออกมาสายครับ ก็เลยถึงนิกโกะเกือบเที่ยงมาถึงคนเยอะมากครับ รอต่อคิวขึ้นรถบัสอีกชั่วโมงกว่าเพราะมันเป็นวันหยุดสามวันด้วยคนก็เลยเยอะมาก หลังจากขึ้นรถบัสแล้วจุดแรกที่เราตั้งใจจะไปคือนำ้ตกYudaki ครับ
แต่กว่าจะมาถึงนำ้ตกได้ใช้เวลาเดินทางประมาณสามชั่วโมงครับ เหนื่อยสุดๆจริงๆระยะทางแค่20 กว่ากิโลเองครับ แต่ในช่วง17 กิโลเมตรทางขึ้นเขารถติดมากครับ ค่อยๆกระดืบๆเหมือนตัวหนอนเลย เป็นสถานการณ์รถติดที่มหาโหดมาก
แถบถอดใจกลางทางเลยครับ (แต่ลงไม่ได้ ถึงลงได้ก็ไม่ลงหรอกครับไม่รู้จะกลับยังไง555) กว่าจะมาถึงตัวน้ำตกYudaki ก็เกือบสี่โมงเย็นแล้วครับ เราเสียเวลาไปกับการเดินทางนานมากไม่คิดว่ารถจะติดขนาดนี้ ผิดแผนไปหมดเลยครับ
พอมาถึงน้ำตกก็รีบๆเดินดูเดินชม และอีกอย่างที่อยากทำเมื่อมาที่นี่ก็คือเดินชมตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติsenjogahara ครับ เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่เลาะไปตามลำธารและทุ่งหญ้าสวยมากครับ
พวกเราสองคนแบบว่าต้องรีบเดินรีบชมกันครับเพื่อแข่งกับเเสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับหายไปเราสองคนเดินจำ้เอาๆ เห็นตรงไหนสวยๆค่อยหยุดพักกัน เสียดายอีกนิดตรงที่ช่วงที่เราใบไม้เปลี่ยนสีแถบนี้ร่วงหมดแล้วครับ แต่บริเวณทะเลสาบจูเซนจิกำลังแดงสวยเลยครับ พักกันหายเหนื่อยสักพักก็ไปกันต่อ
บรรยากาศยามเย็นที่นี่ก็ได้บรรยากาศดีๆไปอีกแบบครับ ทุ่งหญ้าเริ่มแห้งหมดแล้วครับ ถ้ามาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่ก็สวยไปอีกแบบครับ มีดอกไม้ป่าดอกหญ้าบานสะพรั่งเลย
ห้าโมงเย็นแล้วเรารีบเดินกันต่อดีกว่าครับ เส้นทางศึกษาธรรมชาติที่นี่เขาทำได้ดีมากเลยครับเหมาะกับการเดินชมธรรมชาติแบบชิวๆที่สุด คราวหน้าถ้าได้มาอีกจะมาให้เร็วกว่านี้แล้วจะได้เดินชมเพลินๆกว่านี้ครับ แต่ครั้งนี้ก็ถือว่าสนุกไปอีกแบบกับการเดินชมแข่งกับแสงอาทิตย์
จุดแวะพักระหว่างทางครับ ตลอดระหว่างทางที่เราเดินมา กว่าสามสี่กิโลเพิ่งสวนกับนักท่องเที่ยวแค่ห้าคนเองครับ น้อยๆมาก (จะไม่ให้น้อยได้ยังไงก็นี่มันจะมืดแล้ว555) งั้นเราก็ต่อเถอะครับ
บริเวณทุ่งsenjogahara เป็นทุ่งกว้างสวยๆครับ
เส้นทางเลาะเลียบทุ่งและริมแม่น้ำเบื้องหน้าคือเขานันไทครับ ถือเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของสายน้ำที่ทำให้เกิดทะเลสาบจูเซ็นจิครับ จากจุดนี้ต้องเดินอีกประมาณหนึ่งกิโลเมตรครับถึงจะถึงจุดรอรถบัส
ในที่สุดก็เจอกับนักท่องเที่ยวแล้วครับ หลังจากที่เดินวังเวงกันมาสองคนตั้งนาน เป็นกลุ่มนักศึกษาครับ มากันสี่คน เห็นกำลังนั่งชมบรรยากาศกันก็เลยไม่ได้เข้าไปทักทายอะไร อีกอย่างเราสองคนก็รีบด้วยครับ เพราะว่าจะมืดแล้วเดี๋ยวไม่ทันเที่ยวรถลงเขาด้วย
หันไปมองอีกฝัั่งพระอาทิตย์หายลับไปแล้วครับ แอบเสียดายไม่ได้รูปพระอาทิตย์ตกเพราะว่าเมฆบังครับ หลังจากนั้นเราสองคนก็ไปรอขึ้นรถบัสกลับลงเขาแล้วไปต่อรถไฟไปโทจิหงิเพื่อไปพักกับเพื่อน
เช้าวันต่อมาเราก็กลับกันมาอีกรอบครับ พร้อมกับเพื่อนอีกสองคนตรงนี้บริเวณด้านหน้าของสถานีนิกโกะครับ ดูเหมือนเงียบๆแต่คนเยอะมากครับ เป็นเพราะช่วงนี้รถไฟเที่ยวต่อไปยังมาไม่ถึงที่ถึงแล้วก็ยืนต่อรอคิวขึ้นรถบัสกันครับ
วันนี้เราจะไปเที่ยวบริเวณสะพานชินเคียวเป็นที่แรกครับ เมื่อวานแค่ผ่านไปไม่ได้แวะชม
ใครจะข้ามสะพานหล่ะ ก็ 500 เยน ครับ ค่าผ่านสะพาน สะพานนี้สมัยก่อนมีแต่โชกุนกับราชวงค์และเจ้านายชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถผ่านได้ครับ เป็นสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำไดยะ และยังเป็นหนึ่งในสามสะพานที่ถือว่าสวยที่สุดในญี่ปุ่นครับ เป็นประตูสู่มรดกโลกนิกโกะ
สะพานชินเคียวหรือเรียกอีกอย่างว่า " สะพานอสรพิษคู่ " (scared bridge) ตามตำนานเล่าว่าครั้งหนึ่งขณะที่เทพเจ้ากำลังจะข้ามแม่น้ำแห่งนี่้ ได้มีงูสองตัวแปลงร่างมาเป็นสะพานเพื่อให้เทพเจ้าได้ข้ามไป
หลังจากชมความงามของสะพานชินเคียวแล้วเราก็เดินไปชมวัดภายในมรดกโลกกันต่อครับ
ที่นี่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีสวยงามมากครับ และนักท่องเที่ยวก็มากเหมือนกัน
เมเป้ิลต้นนี้ใบเปลี่ยนสีสวยงามมากตั้งเด่นอยู่ตรงทางเดินเข้าไปชมวัดภายใน ใครๆเห็นก็ต้องถ่ายต้นนี้ครับ เพราะว่าสวยเด่นที่สุดแล้วครับ
เจดีย์ห้าชั้น ตั้งอยู่ด้านหน้าของศาลเจ้าโทโชกุ ถือเป็นหนึ่งในจุดเด่นของที่นี่ครับ และยังเป็นต้นเเบบในการสร้างโตเกียวสกายทรีอีกด้วย เดินชมเพลินๆ ก็ได้เวลาไปที่ต่อไปแล้วครับ
ออกจากนิกโกะ มาก็ออกมานั่งรอรถบัสเพื่อที่จะขึ้นไปทะเลสาบจูเซ็นจิกันต่อครับ นั่งรอไม่นานรถก็มา
ได้เวลาตะลุยความน่าเบื่อของรถติดกันต่อแล้วครับ วันนี้ก็ผิดคาดอีกแล้ววันนี้รถติดหนักกว่าเดิมอีกเราต้องใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มข้ึนเกือบชั่วโมง เอิ่มนานไปนะ..........ได้่แต่บ่นอยู่ในใจทำไรไม่ได้ 555
บริเวณนี้เป็นบริเวณพักรถและนั่งกระเช้าขึ้นไปยังจุดชมวิิวน้ำตกเคงอน(Kegon)จากมุมสูงครับ ฝั่งทางโน้นเป็นทางสำหรับขาลงจากนิกโกะครับ ที่นี่เป็นทางวันเวย์ครับ ขึ้นอีกทางลงอีกทาง
พวกเราสี่คนลงที่นี่แล้วขึ้นกระเช้าไปชมน้ำตกเคงอนจากมุมสูงกันก่อนครับ ค่ากระเช้าคนละ 710 เยน
อีกภาพมุมกว้างๆ จะเห็นทะเลสาบจูเซ็นจิอยู่ทางด้านหลังครับ ตอนนี้บริเวณนี้ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีสวยงามมากๆครับ ทะเลสาบจูเซ็นจิ ถือเป็นทะเลสาบที่อยู่สูงที่สุดในญี่ปุ่นครับ โดยอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1269 เมตร รอบๆทะเลสาบมีเส้นทางเดินชมธรรมชาติด้วย
อีกฝั่งของจุดชมวิว เมืองนิกโกะ อยู่ทางด้านหลังของภูเขาครับ
ได้เวลาสมควรแล้ว เราก็ลงกระเช้าเพื่อไปขี้นรถบัสต่อไปยังทะเลสาบกันครับ
กระเช้าที่พวกเราเพิ่งขึ้นไปเมื่อกี้ครับ ราคา 710 เยน คือราคาไปกลับนะครับ เป็นเส้นทางสั้นๆเองครับ
ระหว่างทางกับรถติดที่น่าเบื่อก็ยังมีใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆให้ได้ชมแก้เบื่อเหมือนกันครับ
และแล้วเราก็มาถึงแล้วครับ แต่พวกเราจะไปชมน้ำตกเคงอน(Kegon)แบบใกล้ๆครับ
ถ้าจะลงไปชมน้ำตกจากมุมด้านล่างก็มีลิฟท์บริการครับ คนละ 530 เยนครับ มาถึงแล้วก็ต้องลงไปชมกันหน่อยครับมุมด้านล่างสวยมากครับ เสียดายวันนี้ลมแรงพัดละอองน้ำคลุ้งไปหมด
อีกภาพครับ น้ำตกเคงอนมีความสูงประมาณ 100 เมตรครับ ถือเป็นหนึ่งในสามน้ำตกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น
จากน้ำก็เดินไปชมทะเลสาบจูเซ็นจิกันต่อครับ ที่บริเวณทะเลสาบ มีกิจกรรมให้ล่องเรือชมทะเลสาบด้วย หรือใครอยากปั่นเจ้าเรือเป็ดก็มีให้บริการครับ ที่นิกโก้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากของญี่ปุ่น เราเดินชมบรรยากาศริมทะเลสาบสักพักก็ได้เวลากลับแล้วหล่ะครับ เดี๋ยวไม่ทันเที่ยวรถไฟ และต้องเผื่อเวลารถติดอีก ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสอีกจะมาช่วงฤดูใบไม้ผลิบ้าง
ปิดท้ายทริปด้วยภาพบริเวณริมทะเลสาบจูเซ็นจิ(Chusenji) ครับ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมครับ
........................
พลเอก...............
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น