++ การเดินทางของมิตรภาพทั้งเจ็ด กับการเผด็จศึกแห่งขุนเขา......(ตอนที่ 1) ดอยหลวงเชียงดาว ++


     ความสุข คำๆนี้ ที่ใครหลายๆคนต่างดิ้นรนไขว่คว้าตามหามันอยู่ทุกเวลา  มันเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็ต้องการ       เป็นสิ่งที่เรียบง่ายและไม่มีอะไรยุ่งยาก  ความสุขอยู่รอบๆตัวเราเสมอ เพียงแค่เราจะมองเห็นมันเมื่อไหร่  หรือจะจับมันมาเป็นความสุขให้กับตัวเองเมื่อไหร่
     ความสุขมีมากมายหลากหลายรูปแบบตามแต่ความชอบ  ของแต่ละคน   บางคนมีความสุขที่ได้กินของอร่อยๆบางคนมีความสุขที่ร้องเพลงได้แหกปากดังๆ บางคนมีความสุขที่ได้ช็อปปิ้ง  บางคนมีความสุขที่ได้ทำอาหารได้นอนพักผ่อนอยู่ที่บ้าน 
     แต่สำหรับผม   แค่การก้าวเท้าออกเดินทางมันคือความสุขที่ยิ่งใหญ่มาก    ไม่ว่าจะเป็นระยะทางที่ใกล้หรือไกล  ขอแค่ได้เดินทางออกจากมหานครอันยิ่งใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายนี้  ผมก็มีความสุขแล้ว   และการเดินทางแต่ละครั้งก็จะมีเรื่องราวใหม่ๆ  ผู้คนใหม่ๆ  มิตรภาพใหม่ๆให้ได้พบเจอเสมอ  มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินทาง  ส่วนบรรยากาศของเรื่องราว และประสบการณ์  ก็ย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละครั้งของการเดินทาง  หากคิดที่จะเดินทาง แม้มีอุปสรรคและปัญหาบ้าง ให้คิดว่านั่นคือเรื่องราวและเสน่ห์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง มันจะทำให้เรามีความสุขตลอดการเดินทาง
     บล็อกไดอารี่นี้ เป็นบล็อกแรกในชีวิตของผม ผมสร้างมันขึ้นก็เพื่ออยากที่จะแบ่งปันเรื่องราวและประสบการณ์ของการเดินทางของผม    อาจจะเป็นแค่ก้าวเล็กๆของการเดินทางเท่านั้น แต่ก็อยากที่จะแบ่งปันให้คนอื่นๆได้รับรู้  อาจจะไม่ค่อยได้เรื่องราวเท่าไหร่แต่ก็ติชมกันได้นะครับ
     เริ่มต้นด้วยเรื่องราวเก่าๆ ของการลางานเที่ยวสามดอยที่เชียงใหม่

เริ่มด้วยทะเลหมอกสวยๆ ในตอนเช้าที่ผากิ่วลม บนดอยหลวงเชียงดาว เขาหินปูนที่สูงที่สุดในประเทศไทย


หลังจากที่รวบรวมสมาชิกได้เจ็ดคน พวกเราก็ออกเดินทางจากกรุงเทพด้วยรถทัวร์มาถึงที่หมายที่อำเภอเชียงดาว  เราตัดสินใจขึ้นทางเส้นทางเด่นหญ้าขัด   ซึ่งทางไม่ช้นมาก   พอมาถึงที่หน่วยก็ประมาณ 10 โมงเช้า พวกเรายกเป้สำภาระของตัวเองขึ้นมาแบก  เพื่อเตรียมพร้อมที่จะลุยกัน  หนทางคราวนี้หนักหนาพอควร ส่วนอุปกรณ์และสำภาระกองกลางต่างๆเราก็จ้างลูกหาบให้ช่วยแบกขึ้น


หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยพวกเราก็ออกเดินทางกัน ทางค่อนข้างรกเพราะว่าไม่ค่อยมีคนขึ้นทางนี้หรืออาจจะเป็นเพราะเราไปช่วงต้นฤดูของการท่องเที่ยวซึ่งคนยังไม่ค่อยขึ้นมากนัก เส้นนี้มีกรุ๊ปของเรากรุ๊ปเดียวเท่านั้น ดูแต่ละคนช่วงที่ยังลัลล้ากันครับ เป็นช่วงแรกๆของการเดินทาง


สองข้างทางวิวสวยมากครับ เป็นเส้นทางที่เดินไปตามสันเขา สองข้างทางเป็นผาลาดชัน แต่ก็มีต้นสนขึ้นเต็ม ไปหมดทำให้ดูไม่น่าหวาดเสียวมากนัก เส้นทางช่วงนี้เดินสบายไม่ชันมาก


หลังจากเลยสามแยกปางวัวมาไม่นานนักพวกเราก็หาที่นั่งพักเหนื่อยกัน สภาพของแต่ละคนเริ่มเหนื่อยหอบ แต่ใจยังสู้ครับ อันที่จริงตรงนี้เป็นจุดพักจุดที่สองของเราแล้วจุดแรก  คือบริเวณก่อนถึงสามแยก     ปางวัว พวกเรานั่งพักทานข้าวกลางวันกัน 


เส้นทางหลังจากแยกปางวัวเป็นเส้นทางที่ขึ้นอย่างเดียวเลยทำให้เหนื่อยง่ายขึ้น เราจึงเดินพักไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่พักเปล่าครับ ถ่ายรูปกันตลอด


จุดพักจุดสุดท้ายก่อนถึงที่กางเต๊นท์ แต่ละคนมีอาการหิวจนไส้แทบกิ่ว พลังงานจากข้าวเมื่อตอนกลางวันมันหมดไปตั้งแต่เริ่มต้นเดินขึ้นหลังจากสามแยก  โชคดีที่ผมติดมาม่ามาด้วยสามห่ออยู่ในกระเป๋าพอนึกขึ้นได้ รีบแกะห่อออกมากินอย่างเอร็ดอร่อย


เราใช้เวลาในการเดินถึงที่กางเต็นท์ประมาณ สี่ชั่วโมงยี่สิบนาที ถึงประมาณบ่ายสามหลังจากกางเต๊นท์เสร็จเราก็นอนพักเอาแรงนิดหนึ่ง แล้วก็เดินขึ้นมาดูพระอาทิตย์ตกที่ยอดดอยหลวง แต่น่าเสียดายที่วันนี้หมอกลงเยอะมาก ทำให้ไม่เห็นพระอาทิตย์ตกเลย พวกเราจึงได้แต่ถ่ายรูปกัน และนี่ก็พี่สาวคนเก่งของผม ทีแรกนึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว เพราะเห็นบ่นว่าปวดหลังตั้งแต่ก่อนจะขึ้นซะอีก เห็นบอกว่ากำลังเป็นโรคของผู้หญิง ผมก็ได้แต่ภาวนาขอให้มีแรงอึดสู้นะ เรามาครึ่งทางแล้ว


 เวลาประมาณตีสี่ ลูกหาบก็มาปลุกพวกเราให้ตื่นเพื่อที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน แต่ละคนก็รีบปรี่ตัวลุกขึ้นหยิบหมวก หยิบผ้าพันคอ   เครื่องกันหนาวต่างๆ  พร้อมกับไฟฉาย ออกมายืนนอกเต๊นท์ พอสัมผัสกับอากาศข้างนอกเท่านั้นแทบไม่อยากจะไปเลย อากาศไม่หนาวมากประมาณ 14 องศาเท่านั้น แต่มีลมพัดด้วยนี่ซิ พวกเราทั้งเจ็ดคนก็เดินกันตามลูกหาบไปที่ผากิ่วลมเพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้น ทางขึ้นตรงผากิ่วลมมันชันจริงๆ ต้องจับกิ่งไม้ เถาวัลย์เพื่อช่วยดึงตัวขึ้น หลังจากผิดหวังจากการขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกเมื่อเย็นที่ผ่านมา  แต่เช้าวันนี้เรากลับพบกับทะเลหมอกที่สวยงามมาก เป็นทะเลหมอกที่กว้างใหญ่ ไกลสุดลูกหูลูกตา สุดขอบฟ้าจริงๆ  มองไปก็เจอเพียงคลื่นของปุยหมอกที่กำลังลอยคลอเคลียกับแสงเรืองรองสีทองของดวงอาทิตย์ ที่โผล่ขึ้นเหนือผืนทะเลหมอก   ที่ชอบมากที่สุดคือ"สวรรค์"อยู่ใกล้แค่เอื้อมจริงๆ


อีกรูปกับทะเลหมอกสวยๆ แต่ขอมีเอี่ยวในภาพด้วยคน พวกเราต่างสนุกสนานกับการถ่ายรูปและชื่นชมกับทะเลหมอกอยู่นาน จนกรุ๊ปอื่นๆพร้อมทั้งลูกหาบกลับลงไปหมดแล้ว แต่พวกเราก็ยังคงอยู่ที่ผากิ่วลม แม้จะหิวข้าวแล้วก็ตาม กว่าจะลงมาก็ประมาณ 10 โมงเช้า ไม่รีบเพราะวันนี้เราไม่ได้ไปไหน คงนอนพักเอาแรงอย่างเต็มที่ แต่พอลงมาก็พบกับความประทับใจ เมื่อลูกหาบทำกับข้าวรออย่างเสร็จสรรพ พวกเรารีบขอบคุณ แล้วปรี่เข้าไปจัดการกับอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างกับแร้งลงอะไรอย่างนั้น แป็บเดียวทุกอย่างก็เกลี้ยงไม่มีเหลือหลอ รสชาติอร่อยมาก หลังจากทานอาหารแสนอร่อยแล้วพวกเราก็นอนพักเอาแรงกันอย่างเต็มที่เพราะเดี่ยวตอนเย็นเราจะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกกันอีก 


ประมาณบ่าย 3 โมง พวกเราก็เดินขึ้นมาที่ผากิ่วลมกันอีกครั้งเพื่อดูพระอาทิตย์ตก เพราะว่าเมื่อวานเราขึ้นไปที่ดอยเชียงดาวแล้ว จะได้เปลี่ยนบรรยากาศ กรุ๊ปเราเป็นกรุ๊ปเดียวที่ขึ้นมาทางนี้ จึงทำให้ทั้งดอยฝั่งนี้มีเพียงแค่พวกเราเจ็ดคนเท่านั้น และดอกไม้ฝั่งนี้ก็มีมากกว่าดอยเชียงดาวเสียอีก โดยเฉพาะชมพูเชียงดาว และดอกข้าวปั้นเชียงดาว เพื่อนบอกว่านี้มันเป็นสวนดอกไม้ของเรา ไม่มีใครมาแย่ง ความสวยงามและความเป็นส่วนตัวมันทำให้ทุกคนต่างก็มีความสุขมากๆ เพราะว่าไม่ต้องแย่งกันชื่นชมหรือว่าถ่ายรูปกับกรุ๊ปอื่นๆ


ด้านหลังคือวิวของดอยหนอกที่ตั้งตระหง่าน วันนี้เราต้องผิดหวังอีกแล้ว เมื่อตอนใกล้พระอาทิตย์จะตก เมฆก็ลอยมาปกคลุมทั้งดอยเลย อดอีกแล้วเรา แต่ก็ไม่เป็นไร มาถ่ายรูปและชมความงามของเหล่าบุพชาติเชียงดาวดีกว่า เมื่อเห็นเป็นอย่างนั้นพวกเราจึงถ่ายรูปเล่นกันอย่างสนุกสนานจนใกล้จะมืดค่ำเต็มที เวลามีความสุขเพลินๆ เวลามันเดินเร็วจริงๆครับ


เบื้องล่างคืออำเภอเชียงดาวมองจากตรงนี้มันสูงมากจริงๆ เดินไปชะโงกดูที่ริมผา แล้วหวาดเสียวมากครับ  ใจมันหวิวๆเลยทีเดียว สายลมเย็นๆก็พัดผ่านมาเรื่อยๆ  มันทำให้รู้สึกดีและผ่อนคลายมากๆเลยครับ


ค่ำมากแล้ว พวกเรารีบเดินกลับกันอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่วายที่จะหันกลับมาถ่ายรูปอีกสักแช๊ะ  พอเดินเข้าป่ามาได้สักหน่อยฟ้าก็มืดสนิท  ทางเดินเป็นทางเล็กๆเดินได้คนเดียวต้องเดินเรียงแถวกัน สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสูงและดงสาบหมา  ผมเป็นคนเดินคนสุดท้ายของกลุ่มมันเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก เดินไปคิดไปว่า จะมีใครเดินตามหลังเรามาหรือเปล่านะ หรือจะมีใครมาสะกิดเรียกหรือเปล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัวแต่ก็ทำใจดีสู้เสือครับ ไม่กล้าที่จะหันกลับไปมองข้างหลัง  กลัวว่าจะเห็นอะไรเข้า แต่ก็ยังแอบหันไปมองสองครั้ง โชคดีที่ไม่เห็นอะไรไม่งั้นหัวใจวายแน่ครับ  (คงดูหนังมากไปหน่อยจินตนาการมันเลยบรรเจิด )กว่าจะเดินกลับมาถึงที่พักที่อ่างสลุงก็ประมาณสองทุ่ม  พี่ๆลูกหาบเป็นห่วงมากเห็นพวกเราหายไปนานกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่ได้ไปตาม เพราะไม่รู้ว่าพวกเราไปทางไหนกัน เพราะตอนไปเราบอกแค่ว่าจะไปดูพระอาทิตย์เท่านั้น พี่เขาก็นึกว่าไปกับกลุ่มอื่นๆที่ดอยเชียงดาว พอเห็นคนอื่นลงมาหมดไม่เห็นพวกเราก็เลยเป็นห่วงกัน อันนี้ไม่ดีครับไม่ควรเอาเป็นตัวอย่าง ควรบอกพี่เขาให้ชัดเจนว่าเราจะไปไหน เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้นพี่เขาจะได้ไปตามหาได้ถูกทางครับ


 พอกลับมาถึงก็กินอาหารกันเลยครับ...หิวมากกก ดีที่พี่ๆลูกหาบทำไว้รอ พวกพี่เขาน่ารักและใจดีมากครับ พอทานข้าวเสร็จพวกเราก็เข้าไปเอาถุงนอนออกมาห่มนอนดูดาวกัน เพื่อนๆอีกสองคนก็อาสาต้มน้ำร้อน ชงชาให้ บางคนก็กินกาแฟ   ก็แล้วแต่คนชอบครับ คืนนี้เราเห็นดาวตกทั้งหมดหกดวง กว่าจะได้เข้านอนก็ประมาณ 4ทุ่ม เพราะไอหมอกเริ่มลอยเข้ามาปิดท้องฟ้าและก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณอ่างสลุงจนมองแทบไม่เห็นอะไรเลยครับ


หลังจากนอนหลับกันอย่างสบายในค่ำคืนที่เหน็บหนาวกลางภูสูงแล้ว  ตื่นเช้าขึ้นมาวันนี้ทีแรกผมตั้งใจว่าจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นอีกครั้ง แต่พอถามเพื่อนๆ บอกว่าเหนื่อยมากวันนี้ไม่อยากไปดูแล้ว ผมก็เลยเปลี่ยนใจ ดีเหมือนกันวันนี้เราต้องลงกันแล้ว ก็เลยเตรียมตัวเก็บข้าวของสัมภาระต่างๆ แล้วก็กินขนมปังกับกาแฟกัน ส่วนอาหารมื้อเช้าวันนี้ก็มี คือข้าวผัดดอย เป็นข้าวผัดที่พี่ๆลูกหาบทำให้ทานรสชาติยังดีเหมือนเดิม ขนาดไม่ต้องใส่อะไรมาก


ก่อนกลับลงมา เลยขอถ่ายรูปกับพี่ๆลูกหาบไว้สักหน่อย   แล้วเวลาของการโบกมืออำลาดอยหลวงเชียงดาวก็มาถึง    ถ้ามีโอกาสต้องแวะเวียนมาทักทายอีกครั้งเป็นแน่  เพราะว่ายังไม่ได้สัมผัสบรรยากาศของพระอาทิตย์ตกที่นี่เลย เวลาของการออกเดินทางสู่ที่หมายอื่นก็เริ่มต้นอีกครั้งเราเดินลงจากดอย ประมาณ 8.30 น.  เป้าหมายของเราต่อไปคือ   ดอยผ้าห่มปก  ซึ่งเป็นดอยที่สูงอันดับสองของประเทศ


มุมสวยๆของดอยสามพี่น้อง ถ่ายไว้ตอนขากลับลงมา ตอนเดินลงมาถึงบริเวณนี้ได้เจอกับคุณยาย อายุน่าจะ 70 ปี แล้ว แกใช้ไม้เท้าช่วยยันในการเดินขึ้นอย่างช้าๆ ได้พูดคุยแล้วสอบถาม รู้ว่าแกเดินขึ้นตั้งแต่เมื่อวานเช้าแล้ว และได้แวะนอนที่จุดพักคืนหนึ่ง ที่นี่มีจุดพักระหว่างทางหากใครเดินไม่ถึงในวันเดียว แกบอกว่า แกอยากมาที่นี่หลายปีแล้ว แต่ก็ไม่สะดวกสักที ปีนี้ได้ฤกษ์จึงมาได้ แกเป็นคนชอบเที่ยวเหมือนกันกับเราแต่ตอนอายุยังน้อยภาระหน้าที่มันเยอะเลยไปไหนไม่ค่อยได้ แกบอกว่าก็เสียดายเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไรแก่แล้วก็ไปได้เหมือนกันแม้จะลำบากกว่าสักหน่อย แกพูดปลอบใจตัวเอง แกบอกว่าเราโชคดีนะที่ได้มาตอนที่อายุยังน้อย แถมยังแนะนำอีกว่าถ้ามีโอกาศไปก็ไปก่อน เพราะชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน และร่างกายก็ไม่ได้คงทนตลอดไป ก่อนที่จะสวนทางกันและจากกันไป พวกเราต่างก็ให้กำลังใจคุณยายอีกครั้ง เป็นหนึ่งในเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างทางอีกเรื่องหนึ่ง มันจะติดอยู่ในห้วงของความทรงจำ แค่บางครั้งอาจลืมเลือน แต่ไม่มีวันเลือนหายไป


หลังจากที่ได้คุยกับคุณยาย   พวกเราสู้สึกดีมากๆแล้วก็เดินกลับมาอย่างสุขใจ จนถึงสามแยกปางวัว ขาลงเราตกลงกันว่าจะลงทางปางวัว เพราะจะได้เห็นทั้งสองเส้นทางและอีกอย่างมันใกล้กว่าด้วย   พอเดินเลยแยกมาไม่นานก็เจอกับพี่ลูกหาบที่หยุดรอเราอยู่  เพียงแค่เพื่อจะชี้ให้เราดู ดอกเทียนนกแก้วซึ่งกำลังบานอยู่สองสามดอก  ยิ่งทำให้เราประทับใจพวกพี่ๆเขามากขึ้น ปิดท้ายด้วยดอกเทียนนกแก้วแสนสวย นะครับ มันเหมือนมากๆนะผมว่า แล้วพบกันในตอนต่อไปครับ กับ

 ดอยผ้าห่มปก 

http://krichpol-mynote.blogspot.com/2011/03/2.html


ขอบคุณที่ติดตาม


สวัสดีครับ...


พลเอก........









ความคิดเห็น

  1. สวยมากๆเลย อยากหาโอกาศไปบ้างจัง อิจฉาจริง
    จะคอยติดตามที่เที่ยวอื่นๆต่อไปนะจร่า

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณครับ อย่าลืมติดตามด้วยนะครับ ยังมีอีกสองขุนเขา

    ตอบลบ
  3. ทะเลหมอกสวยมากกกกกกก เล่าซะเหนภาพเหมือนอยู่ตรงนั้นด้วยเลย ชอบๆ ลงรูปเยอะๆสิ อยากดูอีก

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ7 มีนาคม 2554 เวลา 21:59

    ขอบคุณมากๆนะคะที่แบ่งปันความสวยงามของธรรมชาติให้ได้ดูกัน ภาพสวยมาก ถ้าไปยืนอยู่ ณ ที่นั้น คงมีความสุขมากๆ อย่าลืมมาแบ่งปันให้ดูกันอีกนะคะ จะติดตามดูนะคะ fighting

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ8 มีนาคม 2554 เวลา 10:21

    ว๊าว? lj;; นี้หรือประเทศไทย :"?สวยงามจริงๆ ทำไงจะได้ไป กับเขาซักที จะมีโอกาสไหมน๊า '"/แต่ก็ขอบคุณนะที่ทำให้เห็นว่าประเทศไทยก้อ มีดี มีที่สวยงามอย่างนี้ "?แล้วจะคอยติดตามต่อไปนะคับ ขอบคุณที่ทำให้เห็น/?}";*-*

    ตอบลบ
  6. สวยงามจริงๆ อยากมีโอกาส ไปเที่ยว แต่ตอนนี้ก้อดูภาพไปก่อน ขอบคุณนะคับที่นำภาพสวยๆมาให้ดูกัน ชอบมากๆคับ ซักวันมันต้องมีวันนั้น
    แล้วจะคอยติดตาม *-*

    ตอบลบ
  7. สวยมากๆ จริง อยากไปเทียวจังเลย
    บุ่ม

    ตอบลบ
  8. สวยมากคับ... คราวหน้าไปไปชวนผมด้วยนะคับ อยากจะไปสัมผัส
    "สวรรค์" ฟังไม่ผิดหรอกครับก็มันคือ "สวรรค์บนดินที่เพื่อนๆๆทุกคนสามารถสัมผัสได้" มีโอกาสขอซักครั้ง ให้มันเป็นรางวัลชีวิตนะคับ
    ปล.แล้วเราจะได้พบกัน.....

    ตอบลบ
  9. สวยมากค่ะ...
    ถ้ามีโอกาสหน้าอย่าเลยชวนเอด้วยนะ ยังติดใจทริปที่ไปเที่ยวเชี่ยงใหม่กันอยู่เลย........A

    ตอบลบ
  10. ขอบคุณทุกความเห็นครับ
    -แล้วเจอกัน noom_opor
    -แน่นอนน้องเอ เตรียมตัวได้เลย

    ตอบลบ
  11. การเดินทางที่แสนพิเศษ....

    ตอบลบ
  12. จร้า...

    สวยมากๆ
    ไม่ผิดหวังจิจิงที่ได้ไปเที่ยวกับพี่เอก^^
    หนุกอย่าบอกครายเชียวหล่ะ

    โอกาสหน้าอย่าลืมชวนน้องอีกน่ะจ๊ะ^_^

    ตอบลบ
  13. ว้าวๆๆๆๆๆๆน่าสนุกจริงเชียว..อยากไปบ้างจัง..เค้าจะมีโอกาสได้ไปบ้างไหมอ่ะ..


    ถ้ามีตังมีโอกาสเค้าไปด้วยน๊า...

    ตอบลบ
  14. เที่ยวให้ทั่วไทยเลยนะพี่ชาย*-*ภาพสวยมากพี่เอก*-*

    ตอบลบ
  15. สวยงามมากค่ะ.........
    ใครได้ไปสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติอย่างนี้ต้องติดใจแน่นอน

    AAAAA

    ตอบลบ
  16. มาแว้วววว....แวะมาแว้ว

    สวยงามมากมาย สวยจิงๆ ๆ

    สวยแบบเว่อร์ เวอร์แต่จิงหน่ะ

    สวยทุกทริปเรยยย..0*--*0..

    ทริปหน้าชวนโอด้วยนะ (ไปไม่ไป)ว่ากันอีกที อิอิ

    ตอบลบ
  17. ได้เลยน้องโอ แอน เตรียมตัวไว้นะ มีเมื่อไหร่จะรีบแจ้งนะ

    ตอบลบ
  18. ขอตามไปทุกการเดินทาง!!!!!!!!
    กู่ก้องให้โลกรู้......
    ว่า....เมืองไทยสวยมากมาย....แค่ไหน+++++

    ตอบลบ
  19. ไม่ระบุชื่อ16 มีนาคม 2554 เวลา 16:29

    ว๊าว...นี่หรือประเทศไทย..สวยงามมากเลยค่ะ...

    มีโอกาสอยากไปสัมผัสบ้าง...เดวเจอกัน..

    apple...peem

    ตอบลบ
  20. ถ่ายรูปสวยจัง!!! ถ้ามีเวลาก็อยากไปด้วยฮิฮิ *-*

    ตอบลบ
  21. ดอกเทียนนกแก้วสีม่วง ส๊วยยยยย สวย

    ฮ่าๆๆ ถ่ายรูปสวยอ่า อยากไปๆๆ

    ตอบลบ
  22. ทะเลหมอกสวยมากกกกกกกกกกก :)

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 สวนดอกไม้ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น (ที่ไม่ไกลจาก Tokyo)

Trip in japan : kamikochi คามิโคจิ ความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ใจกลางเจแปนแอลป์ (Matsumoto)

Zao Snow Monsters ทุ่งปีศาจหิมะที่ซาโอะ