สังขละบุรี ในวันที่สายฝนพรำ
และแล้วการเดินทางก็เริ่มต้นอีกครั้ง กับทริปที่ต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีกจนเกือบไม่ได้ไป จากหลายๆสาเหตุและปัจจัย แต่ในที่สุด พวกเราสี่คนก็สามารถปรับเวลาให้ลงตัวกันได้พอดี กับทริปเดินทางท่ามกลางสายฝนที่พรำๆตลอดเวลา " สังขละบุรี ดินแดนแห่งศรัทธา "
เราออกเดินทางจากกรุงเทพ เวลาประมาณ 06.30 น. จากบ้านของพี่เจี๊ยบซึ่งอยู่ที่คลองหลวง ด้วยรถยนต์คู่ใจของพี่ก็อก ผู้อาสาขับรถพาเราเที่ยวในทริปครั้งนี้ (ต้องขอขอบคุณมากๆครับ)
หลังจากนั่งรถผ่านไปประมาณ1.30 ช.ม. เราก็มาถึงตัวเมืองกาญจนบุรี แวะเที่ยวที่สุสานพันธมิตรกันก่อนครับ เช้าๆแบบนี้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็เยอะไม่น้อยทีเดียวครับ
หลังจากนั้นเราก็ไปเที่ยวกันต่อที่สะพานข้ามแม่น้ำแควกันต่อครับ ที่นี่คนเยอะมากๆครับ เดินเบียดกันถ่ายรูปทีเดียวครับ
ชื่นชมสะพานกันเรียบร้อยเราทั้งสี่ก็มุ่งหน้าไปกันต่อที่ อุทยานแห่งชาติไทรโยคใหญ่ครับ ไหนๆก็เป็นทางผ่านแวะไปเที่ยวชมกันหน่อยดีกว่าครับ
ท่าที่กำลังฮิต (ไม่เอานะเกรงใจ) พี่เจี๊ยบนำมันมาใช้เป็นท่าประจำทริปในครั้งนี้ครับ
น้ำตกไทรโยคเป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่แม่น้ำแควครับ
มีบริการแพที่พัก ร้านอาหาร และ และล่องเรือเที่ยวชมด้วยครับ
ยังไม่ทันออกจากตัวอุทยานสายฝนแห่งความสดชื่นก็โปรยปรายลงมาเบาๆ แล้วหลังจากนั้นเราก็แวะไปที่น้ำพุร้อนหินดาดกันต่อท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกไม่หยุด แต่เราไม่ได้ลงไปแช่ครับ เก็บเอาไว้ตอนขากลับดีกว่า ตอนนี้เราก็มุ่งหน้าสู่ สังขละกันต่อเลย
เวลาประมาณ 15.30 น. เราก็เดินทางมาถึง "สังขละบุรี" พวกเราพักกันที่สามประสบรีสอร์ท
มาถึงก็ไม่รอช้าครับหลังจากติดต่อห้องพัก และเก็บของกันเรียบร้อย เราก็ออกไปเดินชมสะพานมอญกันทันทีครับ
สายฝนยังโปรยปรายไม่หยุด แต่ไม่ได้ตกหนักอะไร พวกเราก็กางร่มเดินชมสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศกัน
บรรยากาศของเรือนแพที่อยู่ข้างๆสะพานไม้ คราวหน้าถ้ามีโอกาศไปอีกจะไปนอนพักที่เรือนแพบ้างครับ
จากสะพานมองไปทางทิศตะวันตก จะเห็น ศูนย์บริการของ อบต. ที่ร้างวางเปล่าครับ สร้างยังไม่เสร็จหรือไม่มีคนไปใช้ก็ไม่รู้ครับ
รูปสะพานไม้ในช่วงที่ฝนโปรย ไม่มีคนเลยครับ ดีจริงๆ มีแต่ชาวบ้านเดินไปมาบ้าง
แล้วไกด์ตัวน้อยๆของเราก็เดินมาแนะนำถึงเรื่องราวและประวัติของสะพานไม้ครับ ผมไม่ได้สนใจฟังเลยมัวแต่ชื่นชมบรรยากาศ ส่วนสองสาวฟังอย่างตั้งใจครับ
เราเดินไปจนสุดสะพานแล้วก็เดินกลับ ชมบรรยากาศครับ ฝนยังคงไม่หยุดตก
ในค่ำคืนที่หลับเป็นตาย สายฝนตกหนักทั้งคืนเลยครับคืนนี้ ตื่นเช้ามาก็ยังไม่หยุดตก แต่พวกเราก็ยังคงเดินข้ามสะพานไม้ไปใส่บาตรกันครับ
ทีแรกนึกว่าพระท่านไม่เดินบิณฑบาตร เพราะว่าฝนตกตลอดเวลา แต่ไม่เลยครับ พระท่านยังคงเดินบิณฑบาตรตามปกติครับ และเราก็มาทันใส่บาตรครับ
ใส่บาตรเสร็จเราก็กลับมาที่ห้องอาหารของทางรีสอร์ทซึ่งเป็นจุดชมวิว ที่สวยที่สุดเลยครับ
อาหารเช้าแสนอร่อยของพวกเราครับ มีข้าวต้มปลาด้วย
วิวสวยๆที่มองมาจากทางห้องอาหารของรีสอร์ทครับ
มีแสงส่องผ่านลงมาเล็กน้อยก็เลยรีบกดชัตเตอร์เลยครับ
อีกรูปครับ สะพานไม้และเจดีย์พุทธคยา
อิ่มจากอาหารเช้ากันแล้ว เราก็ไปจ้างเรือไปเที่ยววัดใต้น้ำกันครับ เป็นวัดเก่าที่ถูกน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนครับ ระหว่างล่องเรือก็พบกับชาวบ้านหลายๆคนที่กำลังเก็บกู้ตาข่ายดักปลาอยู่ครับ
ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงวัดใต้น้ำแล้วครับ แต่ช่วงนี้น้ำยังไม่เยอะเลยสามารถลงไปเดินชมวัดได้ครับ
พอมาถึงวัดไม่นานสายฝนก็กระหน่ำหนักลงมาอีกครับ ก็ต้องกางร่มเดินชมวัดกันไปครับ ได้บรรยากาศไปอีกแบบครับ มีแค่เราสี่คนเท่านั้น
พี่เจี๊ยบกำลังทำมิวสิค ขณะที่กำลังยืนหลบฝนอยู่ในวัด
เราใช้เวลาในการเดินชมและถ่ายรูปตามมุมต่างๆประมาณ ครึ่งชั่วโมงครับ
มุมด้านข้างของโบสถ์
หลังจากกลับมาจากวัดใต้น้ำเราก็เช็คเอาท์แล้วก็ไปเที่ยวไหว้พระที่วัดหลวงพ่ออุตตมะกัน
แล้วก็ไปชมพระธาตุพุทธคยาต่อ
พระธาตุเจดีย์พุทธคยาในวันที่สายฝนโปรยปราย
ออกจากวัดแล้วเราก็มุ่งหน้าไปที่ ด่านเจดีย์สามองค์กันต่อ วันนี้ที่ชายแดนยังคงถูกปิดอยู่เหมือนเดิมด้วยสาเหตุจากเรื่องบ้านเมืองในพม่าเองครับ
สังขละบุรีในวันที่สายฝนพรำ สองเท้าย่ำเดินไปในโลกหล้า
สายธารหลั่งไหลไปทั่วผืนผสุธา รวมธาราสามประสบพบเจอฤดี
พลังศรัทธาแห่งผืนป่า สมณะ หลวงพ่ออุตตมะ มากล้นบารมี
สะพานไม้เชื่อมศรัทธาสองฝั่งมหานที โดดเด่นด้วยบารมีและแรงศรัทธา
สวัสดีครับ
พลเอก........