++ ตะลุยหลวงพระบาง............... สุดทางที่ปลายฟ้า (ตอนที่1) ++

    
ทริปตะลุยหลวงพระบางได้ผุดขึ้นในใจของผมมา กว่าสามปีแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้เดินทางมาซะที วันนี้มีโอกาสแล้วจะรอช้าได้ไง เดิมทีนัดกันไว้กับเพื่อนอีกสองสามคน แต่ไปๆมาๆก็ไม่มีใครว่างเลย กะว่าถ้าไม่มีใครว่างก็จะตะลุยเดี่ยวเลย  เคยเดินทางเที่ยวคนเดียวมาหลายครั้งแล้วทำให้ไม่ค่อยหวาดหวั่นอะไร  แต่พอดีมีรุ่นพี่ของเพื่อนเขาอยากไปเหมือนกันและก็หยุดได้ การเดินทางครั้งนี้จึงมีเพื่อนไปด้วยอีกหนึ่ง การเดินทางของเราไม่เหงาแล้ว  แต่ก็ยังแอบเกรงว่าพี่เขาจะลุยไหมหน๊า จะไหวไหมเอ๋ย เพราะเรากะว่าจะไปแบบลุยๆ     แต่ก็ได้รับการการันตีจากเพื่อนว่าพี่เขาลุยมาก  งั้นก็โอหล่ะ   พี่เจี๊ยบ ผู้ที่จะเดินทางไปเที่ยวหลวงพระบางกับผมในครั้งนี้ หลังจากที่โทรนัดแนะกันเรียบร้อย    ก็ถึงเวลาที่เราจะเดินทางกันแล้ว
       วันแรกก็เล่นเอาเหนื่อยหอบกันทีเดียว เมื่อทั้งคู่ต่างทำงานและออกเดินทางในตอนเย็นหลังเลิกงาน  ตั๋วซื้อไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ไปรับ รถออก 1 ทุ่ม เราสองคนไปถึงที่หมอชิต 18.50 น. เฉียดฉิวเอามากๆ  อันที่จริงเราต้องไปรับตั๋วไม่เกิน 18.30 น. เพราะเขาจะปิดการขาย แต่โชคดีที่จ่ายตังส์ไปแล้วเลยยังได้อยู่
        เราเดินทางด้วยรถทัวร์ มาถึงเชียงของ ตอน 08.10 น.    แวะซื้อน้ำและของกินเล็กน้อย แล้วก็นั่งรถสามล้อต่อไปที่ท่าเรือ เพื่อที่จะข้ามฟาก (ค่าเรือข้ามฟากคนละ 40 บาม ) ติดต่อทำหนังสือที่ ตม.ทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาวเรียบร้อย เราก็ไปแลกเงิน (อัตรา 262 กีบ ต่อ 1 บาท )   แล้วพวกเราก็มุ่งหน้ากันต่อ   เราตกลงว่าจะนั่งเรือเร็วกัน เพราะไม่อยากเสียเวลาเพิ่มอีกวันไปเปล่าๆบนเรือ ตอนที่เดินขึ้นไปจากตม.ลาว มีคนเข้ามาสอบถามเสนอค่าเรือพร้อมรถไปส่ง เราก็สอบถามราคาว่าเท่าไหร่   เขาบอกว่า 1700 บาท (แพงมาก) ไม่เอา  พวกเราบอกว่าเดี๋ยวไปกันเองดีกว่า   เราจึงเดินขึ้นไปอีกนิดหน่อยก็มีรถสองแถวสีน้ำเงินจอดอยู่หลายคันจึงเข้าไปสอบถามราคา  พี่เขาบอกว่าคนละ 50 บาท พวกเราก็ตกลงทันที ห่างไปประมาณ 4-5 ก.ม. ก็ถึงท่าเรือเร็วแล้ว ไปถึงเราเห็นชาวญี่ปุ่นสองคนกำลังนั่งรอผู้โดยสารคนอื่นๆอยู่  พอลงจากรถเราก็ไปซื้อตั๋วทันที   ค่าตั๋วเรือเร็วอยู่ที่  340000 กีบ  คิดเป็นเงินไทยประมาณ  1300  บาท   ถูกกว่าที่นายหน้าเสนอที่ตม. ตั้งเยอะแนะ 
        พอซื้อตั๋วเสร็จเราก็สอบถามเวลาเรือออกเขาบอกว่าเรือเต็มก็ออกทันที    เราก็เลยบอกว่างั้นขอไปทานข้าวก่อน ซึ่งร้านขายข้าวอาหารตามสั่งก็อยู่ข้างๆ  ที่ขายตั๋วเรือนั่นเอง   หลังจากทานข้าวเสร็จเราก็นั่งรอสักพัก ก็ไปทำความรู้จักกับชาวญี่ปุ่นทั้งสองคนสักหน่อย  คุยไปคุยมาจึงได้ทราบชื่อว่า  เจโกะ กับโชเฮ เป็นชาวญี่ปุ่นไปเที่ยวไทยมาแล้วและจะไปเที่ยวหลวงพระบางกันต่อ นอนหนึ่งคืนแล้วก็จะกลับไปแวะเที่ยวเวียงจันทร์  แล้วก็จะเข้าประเทศไทยอีกครั้ง  ก่อนจะขึ้นเครื่องกลับประเทศ พี่เจี๊ยบของเราคุยกับทั้งสองคนอย่างสนุกสนานทีเดียว ไม่นานก็มีกลุ่มชาวต่างชาติมา ประมาณ 8 คน ในที่สุดเวลาที่เรารอคอยก็มาถึง การเดินทางสู่หลวงพระบางเริ่มต้นแล้ว


แล้วพวกเราก็ออกเดินทางกัน เรือเร็ว เร็วจริงๆครับ   ยังกับนั่งมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งไปบนผืนน้ำด้วยความเร็ว 120 ก.ม. ต่อชั่วโมงแนะ ตื่นเต้นเล็กน้อยเวลาที่วิ่งผ่านเกาะแก่ง บนเรือเขามีชูชีพและหมวกกันน็อคให้ใส่ด้วย  แต่พวกเราไม่ชอบมันเกะกะก็เลยไม่มีใครใส่กัน  อีกอย่างพี่เขาก็ไม่ได้เอาเสื้อชูชีพมาให้เราด้วยอ่ะ มีแต่หมวกกันน็อคซึ่งเราไม่อยากใส่    เรือแล่นผ่านไปสักพักหากใคร     สังเกตุมองด้านขวามือจะเห็น 
ภูชี้ฟ้า และผาตั้ง ตั้งตระหง่านอยู่อย่างโดดเด่นเลยหล่ะ


นี่เป็นจุดที่เรือจอดจุดแรก  เพื่อเปลี่ยนแก๊ซผมจึงถือโอกาสหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปสมาชิกในเรือของเรากันสักหน่อย  ผมกับพี่เจี๊ยบนั่งข้างหน้า     ออเดรียนอีกคนจำชื่อไม่ได้มาจากสวิตนั่งตรงกลาง   หลังสุดเป็น เจโกะกับโชเฮ เรือนั่งได้แค่หกคนนะครับ


หลังจากเดินทางมาร่วมสามชั่วโมงเราก็มาถึง เมืองปากแบง เมืองพักระหว่างทางก่อนจะต่อไปที่หลวงพระบางหากใครนั่งเรือช้ามา ก็จะแวะพักที่นี่กันก่อน 1 คืน และเราเองก็แวะทานข้าวเที่ยงที่นี่เหมือนกัน


นี่คือเรือที่เรานั่งกันมาครบ พี่เขากำลังเปลี่ยนเรือกันอยู่ เราจะต้องนั่งอีกลำไป เพราะว่าพี่เขาผัดเปลี่ยนกัน คงเหนื่อยนะครับ การนั่งเรือเร็วค่อนข้างเมื่อยทีเดียวเพราะว่าเราไม่สามารถขยับขาได้ครับ ต้องนั่งนิ่งๆตลอดทาง หรือไม่ก็ค่อยๆขยับบ้างเบาๆ


เราขึ้นมาพักทานข้าวกันบนแพร้านอาหารที่มีจุดเดียวของที่นี่ ซึ่งเรือทุกลำจะต้องมาแวะจอดที่นี่กัน พอสั่งข้าวเสร็จช่วงที่รอผมก็เดินขึ้นสันทรายที่ร้อนระอุ และไอแดดที่ร้อนแรง     ขึ้นไปดูมุมมองจากข้างบนบ้าง ข้างๆกันอีกฝั่งหนึ่งเป็นท่าจอดเรือช้า พอทานข้าวเสร็จเราก็มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงพระบางกันต่อ  ด้วย ยานพาหนะแบบเดิม   แต่ที่นั่งแคบกว่าเดิมเล็กน้อย ก่อนถึงหลวงพระบางประมาณ 6 ก.ม. เราจะเห็นถ้ำติ่งอยู่ด้านขวามือ แต่เราไม่ได้แวะเที่ยวกันครับ  ได้แต่ยกมือไหว้สักการะเท่านั้น   เรามาถึงหลวงพระบางประมาณ 16.45 น. ท่าเรือเร็วอยู่ห่างจากตัวเมืองหลวงพระบาง ประมาณ 3-4 ก.ม. เราต้องต่อรถกันไปอีกที แต่ค่ารถตรงนี้แพงมาก


พอเข้ามาในเมืองเราก็แยกย้ายไปเดินหาที่พักกันทันที แต่เจโกะกับโชเฮ ตกลงใจมาหาที่พักกับพวกเรา หาที่แรกเราก็ตัดสินใจตกลงเลยในทันที เพราะว่าเหนื่อยแล้วขี้เกียจเดิน หากใครขยันจะเดินหาที่พักจนพอใจก่อนก็ได้นะครับที่พักเยอะมาก   ที่พักของเราคือที่พักเฮือนวัฒนธรรม   อยู่ในซอยข้างๆไปรษณีย์ ก่อนเข้านอนเราก็ไปเดินหาอะไรกินกันก่อนที่ ตลาดไนซ์และ จองเข้าเหนียวที่จะใส่บาตรในตอนเช้ากัน เจโกะกับโชเฮ   ช่วงที่นั่งรอพระเดินออกบินฑบาตในตอนเช้า   สีหน้าแต่ละคนยังสลึมสลืออยู่เลยครับ


พอใส่บาตรกันเสร็จ พวกเราก็ไปเช่ารถจักรยานกัน คันละ 80000 กีบ เราเช่ากับที่พักของเราเองเลยง่ายดี แล้วเราทั้งสี่คนก็ไปปั่นจักรยานเที่ยวกัน แต่ก่อนที่จะไปเที่ยว กองทัพต้องเดินท้องครับ  เราจึงมุ่งหน้าหาที่ทานข้าวกันก่อน พี่เจี๊ยบก็เสนอขึ้นมาทันทีว่า ไปร้านกาแฟประชานิยมกัน เอาไปก็ไป


หน้าตาอาหารและเครื่องดื่มที่พวกเราสั่งมาทานกัน ด้วยความอยากกินโจ๊กก็เลยสั่งโจ๊กมากินกัน ที่ไหนได้นี่มันข้าวต้มชัดๆ  แต่ที่นี่เขาเรียกโจ๊กครับ เฮ่ยผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ไม่เป็นไรกินได้เหมือนกัน  เราผิดเองแหละที่ไม่ถามให้ดีก่อน  ที่ร้านนี้มีคนไทยมากินเยอะมาก    เพราะปากต่อปากที่บอกกันมานั้นแหละ หรือไม่ก็ในไกด์บุ๊กแนะนำไว้ แต่รสชาติ ผมว่าธรรมดานะ


ผมทานเสร็จก่อนเพื่อนก็เลยขอตัวเดินลงไปเล่นที่บริเวณริมโขงสักหน่อย บรรยากาศตอนเช้าที่ริมโขงสวยดีครับ มีเรือจอดเต็มไปหมดที่นี่เป็นท่าจอดเรือช้าครับ


หลังจากที่ทุกคนพร้อมแล้ว ลุยกันเลยดีกว่าครับ จักรยานสี่คันมุ่งหน้าไปตามท้องถนนในยามเช้าที่อากาศกำลังเย็นสบาย จุดแรกของวันนี้ที่เราจะไปเที่ยวกัน ก็คือ  วัดวิชุน ที่เขาบอกว่าที่นี่มีพระธาตุหมากโมที่มีรูปร่างแปลกตา กว่าพระธาตุอื่นๆทั่วไป ครับ


พอไหว้พระ เดินชมสถาปัตยกรรมต่างๆเรียบร้อยพวกเราก็ไปกันต่อที่วัดเชียงทอง ก่อนถึงวัดเชียงทอง ตรงบริเวณด้านข้างของวัดภูสีด้านทิศตะวันออกติดกับแม่น้ำคาน   พอปั่นจักรยานมาถึงตรงนี้พวกเราก็หยุดรถแวะชมแม่น้ำคานกันก่อน ช่วงเช้าๆแบบนี้ที่นี่สงบมากบรรยากาศก็ดีไม่ร้อนจนเกินไป


ช่วงที่กำลังนั่งชมวิวถ่ายรูปกันอยู่ก็มีคุณป้าคนหนึ่งหาบขนมมาขาย  พี่เจี๊ยบก็นึกคันไม้คันมืออยากจะถ่ายรูปท่าหาบของ  ก็เลยเข้าไปขอป้าเขาสักหน่อย  เจโกะกับโชเฮก็เหมือนกัน  นี่เป็นภาพที่โชเฮกำลังทำท่าหาบอยู่ครับ  เสร็จแล้วเราก็ช่วยอุดหนุนคุณป้ากัน   ขนมที่คุณป้าหาบมาขายเป็นขนมเปียกปูน ขนมมัน ขนมเผือก  ที่คลุกกับมะพร้าว อร่อยมากเลย  แถมป้าแกยังใจดีให้ชิมทุกอย่างก่อนแล้วค่อยซื้อ


อีกจุดหนึ่งก่อนที่จะถึงวัดเชียงทอง ตรงบริเวณที่ตั้งป้ายของ ยูเนสโก ด้านหลังมีทางเล็กๆให้เดินลงไปพวกผมก็เลยเดินลงไปดูกัน มันเป็นบริเวณที่ใกล้กับ แม่น้ำคานไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขงก็เลยไปโพสท่าถ่ายรูปกัน อีกฝั่งของแม่น้ำคานสามารถเดินข้ามไปได้ แต่ว่าต้องเสียตังส์นะครับ ไม่รู้ว่าฝั่งโน้นมีอะไร อีกอย่างก็ไม่ได้ถามเขาด้วย เราเพียงแค่ขอขึ้นไปถ่ายรูปเท่านั้น


แล้วเราก็ไปตามหาจุดหมายของเราต่อไป  วัดเชียงทองในที่สุดเราก็มาถึง  เป้าหมายของผมที่นี่มีไม่มาก มีวัดเชียงทอง กับวัดภูสีเท่านั้นก็เพียงพอแล้วหล่ะ ที่เหลือคือกำไรแล้วกัน เพราะว่าผมไม่ค่อยชอบเที่ยววัดวาอารามเท่าไหร่ ดังนั้นเป้าหมายของผมจึงมีไม่มาก และวัดเชียงทองก็เป็นหนึ่งในนั้น


โบสถ์ที่สวยที่สุดของวัดเชียงทองที่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลก   ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำโขง  มีท่าขึ้นเรือ   ซึ่งเป็นท่าเรือสำหรับพระมหากษัตริย์ด้วย  วัดเชียงทองเป็นศิลปะล้านช้าง    สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2103 โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช นับเป็นวัดที่สวยงามที่สุดในประเทศลาวนับจนถึงทุกวันนี้


ก่อนกลับก็ต้องมีรูปคู่กับป้ายซึ่งเป็นธรรมเนียมที่แทบจะทุกคนต้องปฏิบัติ คราวนี้ผมก็อยากได้เหมือนกันจึงให้พี่เจี๊ยบช่วยถ่ายให้หน่อย


หลังจากออกมาจากวัดเชียงทองพวกเราก็ปั่นไปตามถนนเลียบริมแม่น้ำโขง พอผ่านมาถึงที่พักบริเวณนี้เห็นว่าสวยดี ก็เลยถ่ายรูปเก็บไว้  ตลอดริมโขงมีร้านอาหารเต็มไปหมด บางร้านบรรยากาศดีมากๆครับ


พี่เจี๊ยบกับเจโกะ อยากได้รูปถ่ายกับอาคารที่พักสวยๆแถวริมน้ำโขงไว้สักภาพก็เลยจัดให้ ตลอดบริเวณเส้นริมโขงเต็มไปด้วยที่พักสวยๆ และราคาค่อนข้างสูง


ประมาณ10.00 น.พวกเราก็แวะไปเที่ยวอีกจุดหนึ่งนั้นก็คือ   พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ  ซึ่งเป็นที่ประดิษย์ฐานพระบาง พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองลาวด้วย  สำหรับคนไทยเสียค่าเข้า คนละ 30000 กีบ ฝั่งตรงข้ามของพิพิธภัณฑ์คือทางขึ้นวัดภูสีครับ


มาถึงทั้งทีก็ต้องขอกระโดดถ่ายรูปสักหน่อย เดี๋ยวนี้ก็เป็นเทรนด์ที่ฮิตกันมากสำหรับการกระโดดถ่ายรูป ไปที่ไหนก็ต้องโดด   เรากระโดดกันที่หน้าทางเข้าของพิพิธภัณฑ์กันเลยครับ    เจโกะกับโชเฮก็เอาด้วย  คงไม่มีใครกล้าทำอย่างพวกเราแล้วหล่ะ  เพราะเห็นคนอื่นเขามองด้วยความแปลกใจ แต่เรากระโดดครั้งเดียวเองครับ เกรงใจ


และอีกจุดที่ขอให้นักท่องเที่ยวคนหนึ่งช่วยถ่ายให้ พวกเราจะได้มีรูปกลุ่มกัน ด้านหลังเป็นหออะไรสักอย่างที่สร้างขึ้นใหม่อยู่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ และอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอนุสาวรีย์ของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ครับ ด้านในยังไม่มีอะไรเลย


พอเที่ยวกันเสร็จจากพิพิธภัณฑ์พวกเราก็รีบกลับที่พักทันที เพราะว่าเราซื้อตั๋วไว้ไปเที่ยวน้ำตกตาดกวางสี ตอน 11.30 น. พอไปถึงน้ำตก ที่ด้านหน้าของน้ำตกเต็มไปด้วยร้านอาหารพวกเราจึงซื้ออาหารไปทานกันที่น้ำตก อาหารวันนี้แซ่บมากครับ


ทานเสร็จก็ไม่รอช้า รีบเดินไปถ่ายรูปกันด้านบนสุดของน้ำตกกันก่อน เรามีเวลาอยู่ที่นี่ 3 ช.ม. อ้อลืมบอกไปค่าธรรมเนียมเข้าน้ำตก คนละ 20000 กีบครับ


นี่เป็นน้ำตกชั้นบนสุดของน้ำตกตาดกวางสีและเป็นชั้นที่สวยที่สุด     แต่ว่าช่วงนี้น้ำน้อยมาก   ปรกติตอนหน้าน้ำมันจะแผ่กระจายเต็มไปหมดครับ ดูสวยงามกว่านี้เยอะครับ แต่ยังไงก็สู้ทีลอซูบ้านเราไม่ได้หรอก เพราะที่นั่นขนาดไปตอนสิ้นเดือนมีนาคม ถึงน้ำน้อยแต่ยังสวยมากครับ


แล้วก็ได้เวลาเล่นน้ำกัน ตรงน้ำตกชั้นด้านล่างมีที่ให้เล่นน้ำได้สบาย เป็นแอ่งและน้ำก็ไม่ลึก แค่ท่วมหัวเท่านั้นครับ และที่นี่ยังมีเชือกซึ่งเป็นไฮไลท์ของน้ำตกให้จับกระโดดเล่นน้ำกันด้วย


ผมกับโชเฮกระโดดเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน   กระโดดไปกี่ครั้งก็จำไม่ได้    และที่นี่ตรงที่เป็นน้ำตกยังสามารถกระโดดเล่นกันได้ครับ ไม่สูงมาก ประมาณ 3-4 เมตรเท่านั้น เสียวกำลังดีครับ แต่ถ้าเทียบกับทีลอซูบ้านเราแล้ว ทีลอซูสูงกว่าเยอะและก็เสียวมากกว่าด้วยครับ ตรงที่กระโดดน้ำนะครับ


ทุกคนกระโดดเล่นจากตัวน้ำตกกันหมด   ยกเว้นเจโกะคนเดียวที่ไม่กล้าพอ   พี่เจี๊ยบเองก็กระโดดเหมือนกัน น้ำที่นี่สีเขียวฟ้าสวยดีครับ เหมือนน้ำตกก้อหลวงที่บ้านเรา แต่ที่น้ำตกก้อหลวงน้ำลึกครับและไม่ค่อยมีแอ่งให้เล่นอย่างนี้


ประมาณสามโมงครึ่งก็ได้เวลากลับกัน  พอกลับมาถึงที่พักพวกเราก็เอาจักรยานที่เช่าไว้เมื่อเช้ามาปั่นกันต่อ เราขอเวลาพี่เขาอีกนิด อันที่จริงให้เช่าได้ทั้งวันแต่ถ้าคืนแล้วคืนเลย    แต่พวกเราก็ยังไปขอพี่เขาต่อ พี่เขาก็ใจดี   เราบอกว่าจะมาก่อน 1 ทุ่ม แล้วพวกเราก็ปั่นไปเที่ยววัดภูสีกันเพื่อไปดูพระอาทิตย์ตก นี่เป็นภาพจากวัดภูสีฝั่งแม่น้ำคาน มีสะพานไม้ตรงนั้นด้วย


ก่อนที่เจโกะกับโชเฮจะกลับกันก่อนก็ขอถ่ายรูปไว้อีกสักหน่อย    เย็นนี้เจโกะกับโชเฮ ต้องกลับกันก่อน เพราะพวกเขามีโปรแกรมจะไปเที่ยวเวียงจันทร์กันต่อในตอนเช้าแล้วกลับเข้าไทยในวันนั้นเลย      เราจึงต้องแยกกันแค่ตรงนี้  ก่อนจากทั้งเจโกะและโชเฮ  ต่างก็ขอบคุณพวกเราเป็นอย่างมากในการพาเที่ยวหลวงพระบางครั้งนี้   อันนี้ต้องยกความดีให้พี่เจี๊ยบคนเดียวเลยที่เป็นไกด์คอยแนะนำพวกเขา


พวกเราไม่ได้ลงไปส่งข้างล่าง  เพราะจะรอดูพระอาทิตย์ตก   ซึ่งวันนี้ท้องฟ้ามีเมฆเยอะพอควร ด้านล่างคือตัวเมืองหลวงพระบาง จากมุมนี้สามารถมองเห็นเมืองหลวงพระบางได้ชัดเจนเลยครับ และตอนกลางคืนก็สามารถชมเมืองในแบบที่เป็นไฟแสงสีได้ด้วย


ในที่สุดพระอาทิตย์ก็โผล่ออกมาจากก้อนเมฆ ให้เห็นก่อนที่จะลับขอบเหลี่ยมแห่งขุนเขาหายไป อย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าเป็นสีแดงสดสวยงามมาก ผู้คนก็คลาคล่ำไปหมดแทบจะไม่มีที่ยืน คนไทยก็ไม่น้อยเลยทีเดียว ผมกับพี่เจี๊ยบเห็นฝรั่งสองคนเขาปีนขึ้นไปที่ด้านหลังของก้อนหิน เราก็เลยเอาบ้าง  เพราะตรงนี้คนเยอะเหลือเกินถ่ายรูปก็ลำบาก เราจึงปีนตามฝรั่งสองคนนั้นไป


พอปีนตามเข้าไปก็รับรู้ได้ทันทีว่า เราแม่งเสือกว่ะ เขาจะไปทำสวิทกัน   ดั๊นสะเออะตามไปอีก พอรู้อย่างนั้นผมกับพี่เจี๊ยบก็หยุดอยู่ห่างๆ จะถอยก็ไม่ถอยแล้วหล่ะ เพราะตรงนี้คนน้อยดี และพระอาทิตย์กำลังจะตกแล้วด้วย ช่วงเวลาที่รอคอยมันแสนนาน พอถึงเวลามันตกเร็วมากๆไม่นานก็ลับเหลี่ยมเขาหายไปแล้ว เหลือไว้เพียงแสงสีแดงสดที่ยังคงปรากฎให้เห็นอย่างสวยงามอีกนานพอควร


ประมาณ 1 ทุ่ม หลังจากชมพระจันทร์เต็มดวง  และเมืองหลวงพระบางในตอนกลางคืนแล้ว   เราก็เดินลงมาข้างล่าง ตลาดไนซ์ตั้งเต็มไปหมด   แล้วเราก็ปั่นจักรยานกลับที่พักกัน พอกลับที่พัก     เราก็มีความคิดว่าเราน่าจะไปปั่นจักรยานเที่ยวตอนกลางคืนกันนะ แล้วเราก็ตกลงตามนั้น จึงไปขอพี่เจ้าของที่พัก ว่าเราขอยืมรถจักรยานต่อ    พี่เขาก็ใจดีให้ยืมฟรีได้เลย เราก็ไม่รอช้าซิครับ  ไปเที่ยวกันต่อเลย


เพิ่งรู้ว่าการปั่นจักรยานเที่ยวตอนกลางคืนที่นี่สนุกมาก ไม่อันตรายหรอกครับ ก็เหมือนบ้านเราแถมอากาศก็เย็นสบาย เราปั่นไปดู สถานีจอดรถที่จะไปขึ้นในวันพรุ่งนี้ว่าเป็นอย่างไร  แล้วเราก็แวะไปดูผับของที่นี่กันด้วย แต่จำชื่อไม่ได้ครับ  ตอนที่ไปยังไม่มีใครสักคนเลยครับ พวกเราจึงกลับกันออกมา


พอเราออกมาจากผับแล้วเราก็ปั่นไปอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งไม่ใช่ทางเดิมจนไปเจอร้านนี้เข้า  พี่เจี๊ยบเห็นว่าร้านมันน่ารักดี จึงชวนเข้าไปนั่งทานกัน ที่นี่มีร้านสองร้านติดกัน ร้านหนึ่ง ขายขนมเค๊ก อีกร้านขายน้ำปั่นกับไอศครีม เราก็เลยไปสั่งทั้งสองร้านเลยครับ สั่งเค๊กผลไม้รวม สั่งไอศครีมปั่นผสมโยเกิร์ต และไอศครีมอีกหนึ่งถ้วย  รสชาติอร่อยดีครับ แถมราคายังถูกอีกด้วย


   ออกจากร้านขนม เราก็ปั่นไปกันต่อครับเห็นอนุสาวรีย์ของประธาน สุภานุวงศ์  จึงแวะเข้าไปถ่ายรูปเก็บเอาไว้   ตลอดทางที่ปั่นจักรยานไปมีวัยรุ่น ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวเล่นกันตลอด     แต่ก็ไม่มีอะไรครับ เขาก็เที่ยวเล่นตามประสาวัยรุ่นของเขา เราก็เที่ยวตามประสาวัยรุ่นของเราไป ห่างจากร้านขนมเค๊ก ประมาณ กิโลกว่าๆ  เราก็มองเห็นร้านขายเฝอ(ก๋วยเตี๋ยว)ที่ยังเปิดขายอยู่และก็ยังมีคนเดินเข้าไปกินเราก็เลยแวะเข้าไปชิมสักหน่อย    พอเข้าไปแล้วพี่คนขายบอกว่าเฝอหมดตั้งแต่เย็นแล้วตอนนี้ขายข้าวเปียก เอ้า ข้าวเปียกก็ข้าวเปียก พี่จัดมาชามหนึ่ง    พี่เจี๊ยบกลัวกินไม่หมด   เลยแค่จะขอชิมกับผมเท่านั้น พอพี่เขายกถ้วยข้าวเปียกมาเท่านั้นแหละครับ  ทำไมมันเยอะและชามใหญ่จัง  ดีนะที่สั่งมาแค่ถ้วยเดียว  พอทานเข้าไปเท่านั้นแหละครับ  " อื้ม "  ทำไมมันอร่อยจัง อร่อยกว่าร้านอื่นๆที่เคยกินมาทั้งนั้นเลยนะเนี้ย   ไม่ต้องปรุงก็อร่อยมากแล้ว  เสียดายที่ไม่ได้จำชื่อร้านมา จะได้แนะนำคนอื่นๆถูก มันอร่อยมากจริงๆครับ ทานเสร็จก็มองดูนาฬิกา  โอ๊ว!!!  สี่ทุ่มกว่าแล้วเหรอเนี้ย ทำไมมันเร็วอย่างนี้หล่ะ พวกเราปั่นไปเที่ยวตรงสะพานที่ข้ามแม่น้ำคานที่มองเห็นจากวัดภูสีอีกที่ก่อนกลับที่พัก  นี่เราปั่นจักรยานอ้อมเมืองหลวงพระบางกันเลยทีเดียว  แต่ว่าปั่นเที่ยวตอนกลางคืนนี่มันสนุกมากจริงๆ  คราวหน้าถ้ามีโอกาสไปอีกก็จะไปปั่นเที่ยวกลางคืนอีกอย่างแน่นอนครับ


ปิดท้ายทริปตะลุยหลวงพระบาง เส้นทางสุดปลายฟ้า  (ตอนที่1)  ด้วยภาพสวยๆของพระอาทิตย์กำลังตก เป็นตอนที่พระอาทิตย์โผล่พ้นจากหมู่เมฆ และส่องแสงสว่างเจิดจ้า รูปนี้ถ่ายจากวัดภูสี   พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางไปที่วังเวียงกันต่อ หลังจากนี้ยังมีเรื่องราวอีกเยอะมาก อย่าลืมติดตามกันต่อนะครับ     


  ตอนที่่2


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม


สวัสดีครับ....



พลเอก........






ความคิดเห็น

  1. สุดยอดมากเลย ยังนี้ต้องติดตามไปด้วยยังงี้ต้องเอี่ยวด้วยไปไหนไปด้วย ชอบบบบบบบบบบบบบบ*-* *-* *;*

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ16 มีนาคม 2554 เวลา 16:35

    สักวันฉันจะไปสัมผัสบรรยากาศแบบนี้...เดวเจอกัน...

    apple..peem

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ16 มีนาคม 2554 เวลา 21:40

    คือเป็นตาม่วนแท้นอ ..เป็นจังได๋แน ...55
    หลวงพระบางสวยจัง อยู่ใกล้แค่นี้เองแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไป
    อาหารก็น่าทาน..น้ำตกก็สวย..วิวก็สวย...ประเทศเพื่อนบ้านสุดยอดจริงๆ

    ตอบลบ
  4. วัน 11111 จะต้องไปให้ได้เลยเชียว ... *-* *;*

    ตอบลบ
  5. ประสบการณ์ใหม่..ในการไปท่องโลกกว้าง^^
    ทำให้เราเรียนรู้ถึงความแตกต่าง...
    เพื่อที่จะดำรงอยู่...และยอมรับมันได้!!!!!!
    ...น่าประทับใจจริง..จริง^0^

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ18 มีนาคม 2554 เวลา 00:08

    เป็นตาม่วนแท้น้อ....ซำบายดี
    ยกนิ้วให้เลย ประสบการณืครั้งนี้คงน่าประทับใจน่าดู มิตรภาพต่างแดน อาหารก็น่ากิน น้ำตกก็สวย ทุกอย่างดูดีไปหมด น่าเที่ยวจริงๆ
    ป.ล คนที่กะโดดน้ำลงมาคนเดียวนั้น อยากทราบว่าเป็นใครเหรอะคะ...

    ตอบลบ
  7. โห...อิจฉาอ่ะ

    อาหารลาวอร่อยเหมือนอาหารไทยอ่ะป่าว!
    แต่บรรยากาศสุดๆเลย สุดยอด...

    ตอบลบ
  8. จะเดินทางไปหลวงพระบาง วันที่ 19 กค 2011 อยากทราบว่า
    1 ที่พักที่หลวงพระบางที่มีบริการ wifi ราคาประมาณเท่ารไรครับ
    2 ไปน้ำตกกวางสี นั่งรถประเภทไหนไป ราคาเท่าไรครับ
    3 ปั่นจักรยานไปพระธาตุพูสี มีที่ฝากจักรยานไหมครับ(กลัวโดนขโมย)

    ตอบลบ
  9. ขอโทษที่เข้ามาตอบช้านะครับ
    1 ที่ผมพักก็มีให้เหมือนกันแต่ไม่ได้ใช้เลยบอกไม่ถูก ราคาก็ประมาณ500-700 บาทลองต่อราคาดูครับ ที่พักเยอะมากข้างๆซอยไปรษณ๊ย์
    2 ตอนที่พวกผมไปพวกผมซื้อทัวร์ครึ่งวันไปครับ รู้สึกว่าคนละ 350 บาท แตจ่ถ้าไปหลายคนผมว่าเหมารถไปเองเลยก็ดีนะครับหรือถ้าไปน้อยลองเช่ามอไซค์ขับซิครับ น่าสนุกออกผมยังเสียดายเลยที่ไม่ได้เช่ามอไซค์ขับที่หลวงพระบาง อีกอย่างปั่นจักรยานเล่นตอนกลางคตืนที่หลวงพระบางผมชอบมากครับ
    3เท่าที่เห็นไม่มีนะครับ พวกผมอาศัยไปจอดที่ทางขึ้นด้านข้างติดกับแม่น้ำคานครับตรงนั้นมีเสาไฟด้วยก็เลยอาศัยล็อกติดกับเสาๆฟไว้เลยครับ เขามีที่ล็อกให้ครับ กว่าจะกลับลงมาก็เกือบสองทุ่มแล้วครับ

    ตอบลบ
  10. ไม่ระบุชื่อ8 สิงหาคม 2554 เวลา 14:17

    น่าสนุกมากๆ อยากไปบ้างจัง

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ7 กันยายน 2554 เวลา 14:07

    อยากไปมั้งจัง หวังว่าโอกาสต่อไป เราคงจะได้ไปด้วยกันนะพี่เอก เออยากไปเที่ยวเมืองลาวอ่ะ...


    A....

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 สวนดอกไม้ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น (ที่ไม่ไกลจาก Tokyo)

Trip in Japan : เที่ยวกำแพงหิมะ เมืองโทยามะ ตอน ดินแดนฮาโตริ เมืองฮิมิ กำแพงหิมะบนอัลไพท์รูท (Himi Tateyama)

Trip in japan : kamikochi คามิโคจิ ความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ใจกลางเจแปนแอลป์ (Matsumoto)