++ ตะลุยหลวงพระบาง ..............สุดทางที่ปลายฟ้า (ตอนจบ) ++

เรามาร่วมเดินทางกันต่อนะครับ สำหรับทริปตะลุยหลวงพระบาง  เส้นทางสุดปลายฟ้า จากตอนที่แล้วที่เราเดินทางเที่ยวกลางคืนด้วยการปั่นจักรยาน    มันเป็นประสบการณ์ที่สนุกมากที่เกิดขึ้นที่หลวงพระบาง ผมคิดว่านั่นคือเสน่ห์ที่น่าหลงไหลที่สุดสำหรับผม  และหลังจากนี้เราก็จะมุ่งหน้ากันต่อกับเส้นทางที่แสนพิเศษ ด้วยเรื่องราวที่น่าจดจำ ที่เกิดขึ้นมากมาย ทั้งที่  วังเวียง เวียงจันทร์ ปากชม เชียงคาน และ ภูเรือ  เส้นทางยังอีกไกลเดินทางกันต่อนะครับ


ต่อจากตอนที่แล้ว



วันนี้เราตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวเก็บข้าวของกันและออกไปขึ้นรถที่มารอรับเราที่หน้าห้องพัก     ตอนที่เราเดินออกมาจากที่พักยังไม่มีใครตื่นเลย แม้แต่เด็กที่เฝ้าอยู่ก็หลับสบายเลย เราเลยไม่ได้ร่ำลาใคร เราจ่ายเงินค่าห้องไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเรียบร้อยแล้ว     เราเดินออกไปขึ้นรถสามล้อที่มารออยู่ เพื่อไปที่สถานีจอดรถ เราตั้องไปขึ้นรถก่อน 6.30 น. รถคันนี้คือรถที่จะพาเราไปวังเวียงกันครับ เป็นรถเที่ยวแรก


เส้นทางระหว่างหลวงพระบางถึงวังเวียงเป็นเส้นทางที่เป็นภูเขาทั้งหมด รวมระยะทาง ประมาณ 239 ก.ม. แต่ใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมด 6.5 ช.ม. วิวทิวทัศน์สองข้างทางสวยงามมาก เต็มไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่วางตัวสลับซับซ้อนกันเป็นผืด ช่วงนี้เป็นช่วงที่ใกล้จะถึงวังเวียงครับ จะเต็มไปด้วยภูเขาหินปูนซะส่วนใหญ่


หลังจากที่นั่งหลังขดหลังแข็งอยู่บนรถ ตั้งหกชั่วโมงกว่า รวมแวะทานข้าวด้วย 20 นาที ในที่สุดเราก็มาถึงวังเวียงครับ รถจะจอดตรงที่เป็นบริเวณสนามบินเก่าครับ พอลงจากรถเราก็เดินหาที่พักทันที ทีแรกกะว่าจะไปพัก  ที่   Other side resort แต่ว่าเต็มครับ เราก็เลยต้องเดินหาที่ใหม่ เดินทางมาก็เหนื่อยแล้ว เราก็เลยขี้เกียจเยอะ ก็เลยไปพักที่น้ำซองรีสอร์ท พอเข้าทีพักเรียบร้อยก็รีบเดินไปถามร้านเช่าห่วงยางเล่น และเขาบอกว่าปิดตอนบ่ายสองโมง เวลาของเราเป๊ะพอดี บ่ายสองเราก็มุ่งหน้าไปนั่งห่วงยางเล่นกัน ต้องนั่งรถกะเปาะไปประมาณ 4 ก.ม.  เพื่อสู่จุดเริ่มต้นของการเล่นห่วงยาง     คนเล่นเยอะเต็มไปหมด   18.00 น.เราก็ลอยมาถึงที่พักที่พักของเราใกล้ตรงท่าขึ้นพอดีครับ หลังจากขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย เราก็ออกไปหาอะไรกินกันวันนี้เราตกลงว่าจะเช่ามอเตอร์ไซค์ขับกัน โดยจะเช่าตอนนี้ คือประมาณ 20.00 น.   ส่งคืนพร่งนี้เที่ยง   หลังจากนั้นเราก็ขับไปหาอะไรกินกันและก็ท่องราตรีชมเมืองเล็กน้อยก่อนกลับสู่ที่พัก


มอเตอร์ไซค์สีแดงแรงฤทธิ์คู่ใจของเราในการเที่ยวที่วังเวียบงครับ  ตื่นมาแต่เช้าก็ออกไปตะลอนๆกันเลยครับจุดแรกที่เราไปคือริมน้ำซองตรงที่มีสาขาแยกออกเป็นสองสาย เพื่อไปดูบรรยากาศตอนเช้าๆที่นั่น เช้าอย่างนี้ยังไม่มีใครตื่นเลยครับ เราขับลุยกันไปอย่างทุลักทุเลกว่าจะถึงจุดนี้


แต่พอสักพักเราก็ได้ยินเสียงเพลิงแก๊ซดังสนั่นไม่นานบูลลูนลูกเก่าๆก็ลอยขึ้นมา นี่ถ้าใครไม่ตื่นเช้าไม่เห็นนะครับ พี่เจี๊ยบก็เลยขอกระโดดถ่ายคู่กับบอลลูนสักหน่อย พลาดได้ไงช็อตนี้


หลังจากชื่นชมบรรยากาศที่ริมน้ำกันอย่างจุใจ เราก็ต้องไปดูตลาดของวังเวียงกันหน่อยเราก็เลยขับไปหาอะไรทานกันที่ตลาดก็ได้ขนมมาเล็กน้อย แต่พี่เจี๊ยบได้สาหร่ายน้ำจืดกับหนังควายแห้งเป็นของฝากด้วย


ออกจากตลาดเราก็ไปหาอะไรทานกันต่อ เราไปทานเฝอกับลาบที่ร้านแห่งหนึ่งจำชื่อไม่ได้ครับ  รสชาติก็อร่อยดี หลังจากนั้น ก็ถึงเวลาที่เราจะตะลุยกันแล้ว  เป้าหมายต่อไปคือ   บลูลากูนที่ขึ้นชื่อของวังเวียง กว่าจะถึงลำบากพอตัวครับ 9 ก.ม. แต่สภาพเป็นทางลูกรัง ไม่ใช่ลูกรังธรรมดาเหมือนบ้านเรา   แต่ลูกรังก้อนหินแต่ละก้อนใหญ่มากๆครับ  พอไปถึงก็งั้นๆครับ แค่แอ่งน้ำที่เป็นสีน้ำเงินออกฟ้าๆ คล้ายๆที่น้ำตกตาดกวางสี แต่ที่นี่มีถ้ำให้เที่ยวชมด้วยนะครับ ชื่อว่าถ้ำปูคำ เราก็เดินไปเที่ยวในถ้ำกัน


ประมาณ  10.00 น.เราก็ออกมาจากบลูลากูนกัน และจะไปเที่ยวอีกที่แห่งหนึ่งนั่นคือ ถ้ำจัง เป็นถ้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดในวังเวียงครับ ตรงนี้เป็นสะพานตรงบริเวณ วังเวียงรีสอร์ทก่อนที่จะข้ามไปเที่ยวชมถ้ำจัง


พอไปถึงทางขึ้นแทบหมดแรงครับ เพราะว่ารีบมากๆ วันนี้พี่เจี๊ยบจองรถไว้จะกลับไปที่เวียงจันทร์เพื่อออกไปงานแต่งเพื่อนที่หนองคายตอน 11.30 น. ดังนั้นเราต้องรีบหน่อยเพื่อทำเวลา วันนี้มีนักศึกษา ที่เรียนไกด์มาเก็บเส้นทางกันเยอะไปหมดครับพอเดินขึ้นถึงบริเวณปากถ้ำก็หันมาถ่ายรูปวิวเก็บไว้สักหน่อย


นี้คือบรรยากาศภายในถ้ำ มีติดไฟและทำเส้นทางไว้ให้เดินอย่างเรียบร้อยสวยงามไม่เหมือนถ้ำปูคำเลย และถ้ำที่นี้ก็สวยกว่าจริงๆ ทั้งหินงอกหินย้อยสวยงามทีเดียว และที่เป็นจุดเด่นคือหินงอกรูปที่นั่งนางงาม


เวลาประมาณ 11.00 น. เราก็กลับมาที่พัก เพื่อที่พี่เจี๊ยบจะได้เตรียมตัวขึ้นรถกลับไปที่เวียงจันทร์ พอมาถึงพี่เขาก็บอกว่าวันนี้รถที่จองไว้ไม่มา เขายกเลิกกระทันหัน อ้าว  แล้วเอาไงดีหล่ะเนี้ย พี่เจี๊ยบจะไปทันงานแต่งเพื่อนไหมเนี้ย ในที่สุดพี่เจี๊ยบก็ตัดสินใจว่าจะไปนั่งรถท้องถิ่นที่สถานี รถคันนี้แหละครับ    พอไปถึงรถออกตอนเที่ยงตรง พอไปส่งพี่เจี๊ยบเสร็จผมก็ขับรถกลับมาส่งคืนแล้วเข้าที่พักในทันที แล้วก็หลับยาว 3 ช.ม. ตื่นมาอีกทีก็ใกล้เย็นมากแล้ว


ภาพบรรยากาศของวังเวียงถ่ายจากที่พัก ในช่วงบ่ายคล้อย ผมก็ออกมานอนเล่นที่เปลที่ระเบียงที่พักเพื่อรอเวลาพระอาทิตย์ ภูเขาหินปูนด้านหลังเป็นจุดเด่นที่สุดของเมืองวังเวียงเลยครับ


คืนนี้ต้องเที่ยวคนเดียวแล้วหล่ะ เหงาเล็กน้อยแต่ก็เคยชินกับการเที่ยวคนเดียวหลายครั้ง วันนี้ไม่โปรแกรมอะไรเลยครับไม่รู้จะไปไหนด้วย คงต้องลงไปนั่งเล่นที่สะพานไม้ เหมือนเมื่อวาน  ดูเด็กๆเล่นน้ำกัน


และแล้วช่วงเวลาที่รอคอยก็มาถึงพระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าแล้ว แต่น่าผิดหวังเล็กน้อยที่หลังจากพรอาทิตย์ตกแสงไม่สวยเลยครับ สงสัยฟ้าคงจะสดใสเกินไป


แล้วก็เดินลงมานั่งตรงสะพานไม้ มีเด็กๆกำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน  ท้องฟ้าค่อยๆมืดมิดอับแสงลง  แสงไฟจากรีสอร์ทก็ค่อยๆถูกเปิดขึ้น   ผมก็นั่งฟังเพลง  ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย  และยังมีเดินลงไปแช่เท้าในแม่น้ำตอนกลางคืนด้วย   ได้เห็นบรรยากาศของการหาปลาของชาวบ้าน   ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเอาตาข่ายมาลากหาปลากัน  โดยผู้ชายสองคนจับไม้ที่ขึงตาข่ายไว้คนละข้างแล้วลากไปตามน้ำซึ่งเต็มไปด้วยก้อนหิน โดยมีผู้หญิงเดินตามเพื่อเก็บปลาที่ลากได้   หลังจากนั้นผมก็ขึ้นไปนั่งที่ริมน้ำ ที่มืดๆดาวคืนนี้สวยจัง ผมนั่งมองดาวที่ตระการตา อยู่นาน พอประมาณ  สองทุ่มกว่า พระจันทร์ที่สุกสว่างก็ค่อยๆลอยขึ้นมา พอได้มองเห็นแล้วผมก็เดินกลับที่พัก


รุ่งเช้าประมาณ ตีห้าครึ่งผมเดินอยู่คนเดียวบนท้องถนนที่มืดมิด จนทะลุออกมาที่สนามบินเก่าเพื่อนั่งรอรถที่จะนั่งไปเวียงจันทร์ นั่งรออยู่ประมาณ 20 นาที รถก็มาท้องฟ้าก็ค่อยๆสว่างขึ้นอย่างช้าๆ    ปั๊มน้ำมันที่จะแวะเติมดั้นหมด พี่โชเฟอร์ก็เลยขับมาหาเอาดาบหน้า พอดีเห็นที่เติมน้ำมันก็จอดแวะเติมทันที เป็นน้ำมันแบบปั๊มขึ้นจากถังใส่แกลลอนก่อนแล้วค่อยมาเทใส่ที่รถอีกที


วันนี้นัดเจอกับพี่เจี๊ยบเพื่อร่วมเดินทางกันอีกครั้งที่ ประตูชัย เวียงจันทร์ตอน 10.00 น ผมมาถึงตอน 10.10 น. แล้วพี่เจี๊ยบก็ออกมาเรียกเมื่อเห็นผมกำลังมองหาอยู่ และวันนี้เราก็มีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคนนั่นก็คือ พี่ตัส เพื่อนของพี่เจี๊ยบที่มางานแต่งเพื่อนที่หนองคาย แล้วแวะมาเที่ยวต่อกับพี่เจี๊ยบ การเดินทางของเราหลังจากนี้จึงมีกันสามคน


จุดแรกที่มาถึงแล้วไม่ควรพลาดเลยนั่นก็คือประตูชัยแห่งนี้ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.2512 เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้เสียสละชีวิตในสงคราม ลักษณะสถาปัตได้รับอิทธิพลมาจากประเทศฝรั่ง


หลังจากนั้นเราก็ไปเที่ยวกันต่อที่พระธาตุหลวงซึ่งเป็นพระธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในประเทศลาว และยังเป็นสัญลักษณ์ประจำประเทศด้วย ด้านหน้าของพระธาตุมีรูปปั้นของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ถือพระแสงดาบเอาไว้


พระธาตุถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสูง และที่กำแพงมีการเจาะช่องไว้โดยตลอด  นี่เป็นภาพภายในที่กำแพงที่ล้อมรอบเอาไว้ ว่ากันว่าด้านในพระธาตุได้ บรรจุพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้าเอาไว้ด้วย หลังจากนั้นเราก็แวะไปไหว้พระกันต่อที่วัดศรีเมือง ว่าจะไปกันต่อที่หอพระแก้ว แต่ว่าวันนี้ปิด เลยอดเที่ยวครับ


หลังจากนั้นเราก็เหมารถกันต่อไปที่สะพานเพื่อข้ามแดนกลับฝั่งไทย  เวลาประมาณ บ่ายโมงกว่าๆ เราก็ข้ามกลับมาประเทศไทย เย้ ได้กลับบ้านแล้ว อยู่เมืองไทยอ่นใจกว่าจริงๆ แล้วเราก็ไปที่ บขส. หนองคายเพื่อต่อรถ โชคดีที่รถจะไปปากชมยังไม่ออก เราเลยได้นั่งสองบัสไปปากชมกันต่อ เป้าหมายของเราในคืนนี้คือที่เชียงคานครับ


ช่วงบรรยากาศข้างทางระหว่างที่ไปปากชม ครับ  รถคันนี้ไปถึงแค่ปากชมครับ  เรากะว่าถ้าไปถึงเร็วเราจะโบกรถกันต่อไปเชียงคาน บนเส้นทางนี้เป็นเส้นทางริมแม่น้ำโขงที่สวยมากๆครับ มองเห็นแม่น้ำโขงและเกาะแก่งต่างๆ   เรามาถึงปากชมตอน  18.30 น. ท้องฟ้ามืดเสียแล้วหล่ะ แล้วเราจะโบกรถไปยังไงดีหล่ะ เดินไปสักพักก็เริ่มหิวแวะหาของกินกันก่อน   เอาว่ะ โบกก็โบกลุยกันต่อไป แต่พี่ร้านก๋วยเตี๋ยวพอรู้ข่าวว่าเรากำลังจะโบกรถ ก็เป็นห่วงบอกให้หาที่นอนที่นี่กันดีกว่าเส้นทางนี้ตอนกลางคืนจะไม่ค่อยมีรถวิ่ง แวะก็เป็นอย่างที่พี่เขาบอกเมืองปากชมเงียบสงบมากๆ เราก็เลยตัดสินใจนอนที่ปากชมดีกว่า    และการตัดสินใจของเราก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ


บรรยากาศที่นี่สงบน่าอยู่จริงๆ ตอนรุ่งเช้าพวกเราก็ออกมาเดินโบกรถตั้งแต่หกโมงเช้ากันเลยทีเดียว เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่แม่น้ำโขง ซึ่งอยู่บริเวณท่ารถที่เราลงเมื่อตอนเย็น ผมได้แอบแว๊บไปดูลาดเลาเผื่อไว้แล้ว พอมาถึงเราก็ไปขอบคุณพี่เจ้าของรถกันก่อนแล้วก็เดินดุ่มๆข้ามรั้วแล้วลงไปที่แม่น้ำโขงทันที


ช่วงเช้าๆตรงกลางแม่น้ำโขง ช่วงนี้แม่น้ำโขงแห้งเราจึงสามารถเดินเข้าไปถึงกลางแม่น้ำได้เลย เพราะมีสันดอนให้เดินได้สบาย เช้าแบบนี้ไม่มีใครเลยครับมีเพียงพวกเราสามคนเท่านั้น และไม่นานก็มีลุงสองคนเดินมาดูอุปกรณ์ที่วางดักปลาเอาไว้


นี้เป็นภาพเรือของชาวบ้านที่จอดเอาไว้ในแม่น้ำโขง จึงเข้าไปถ่ายรูปเอาไว้


น้ำในแม่น้ำโขงแห้งมาก จนมองเห็นสันดอนทรายและเกาะแก่งเต็มไปหมด เราวางเป้ลงเอาไว้แล้วเดินเที่ยวกันอย่างสนุกสนานและตื่นตาตื่นใจ


แล้วผมก็เดินไปเจอมุมหนึ่งที่สวยงามเป็นมุมที่เห็นพระอาทิตย์สองดวง  ผมชอบมากและถ่ายมาซะหลายรูปทีเดียว บรรยากาศยามเช้าในแม่น้ำโขงที่แห้งขอดแบบนี้ก็สวยไปอีกแบบนะครับ


และอีกภาพครับแต่คนละจุดเลยเห็นพระอาทิตย์เป็นเส้นแสง ที่เชียงคานไม่มีบรรยากาศแบบนี้นะครับ                                        ดอนทรายและเกาะแก่งที่ปากชมสวยมาก


พี่เจี๊ยบและพี่ ตัสเองยังไม่ผิดหวังเลยที่เราไม่ได้ไปพักที่เชียงคานเพราะ ว่าที่นี่บรรยากาศดีมากๆ ดูพี่เจี๊ยบกับพี่ตัสเดินเล่นอย่างสนุกสนานเลยหล่ะ


แอบถ่ายรูปทั้งคู่ขณะที่กำลังสนุกกับการเดินเล่นบนทรายที่มีน้ำไหลผ่านไปเบาๆ แสงอาทิตย์สะท้อนในน้ำเป็นสีทองอร่าม


พี่เจี๊ยบบอกว่าอยากได้ภาพท่าเก็บตะวันผมก็เลยจัดให้ได้เท่านี้ครับ


ยังไม่อยากกลับจากที่นี่เลยครับ แต่เรามีภารกิจที่ต้องไปต่ออีกหลายแห่งในวันนี้ พวกเราจึงแบกเป้แล้วเดินกลับขึ้นมาจากแม่น้ำโขงกัน รั้วนี่แหละครับที่เราปีนเดินลงไปในแม่น้ำโขง


เริ่มหิวแล้วซิ    ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่านะ     แล้วเราสามคนก็แบกเป้เดินไปตามท้องถนน  ที่ไม่ค่อยวุ่นวาย ผู้คนเรียบง่าย  อัธยาศัยดี แล้วเราก็เห็นร้านขายน้ำเต้าหู้ และซาลาเปา อยู่ข้างถนน ก็เลยไปซื้อมากินกัน  เดินไปกินไปตามถนน  แล้วเราก็โบกรถกันเลยครับ ไม่นานเราก็ได้ผู้ใจดีจอดรับ พี่เขาบอกว่าเขาจะไปดูไร่ ประมาณสิบกว่าโล เราก็บอกว่างั้นพวกเราขอติดรถไปลงตรงนั้นได้ไหมครับ เดี๋ยวเราโบกกันต่อ พี่เขาโอเค เราก็เลยกระโดดขึ้นกระบะทันทีครับ


เค้าหน้าตาของผู้ใจดีที่จอดรับเราครับ แถมพี่เขายังแวะระหว่างทางให้เราด้วย บอกว่าตรงนี้ชอบมีคนแวะมาจอดรถเพื่อชมวิวกัน


หลังจากนั้น เราก็โบกรถกันต่อครับ คราวนี้ได้คันที่จะไปถึงด้านหน้าของทางเข้าไปแก่งคุดคู้เลยครับ โชคดีจริงๆ เราใช้เวลาในการโบกรถคันที่สองของวันนี้ไม่นานครับ


เส้นทางจากปากชมถึงเชียงคานเป็นเส้นทางเลียบริมโขงเช่นกันครับ วิวสองข้างทางสวยดีครับ ไม่นานเราก็มาถึงทางเข้าแก่งคุดคู้กันแล้วครับ เราสามคนรีบลงจากรถแล้วไปขอบคุณพี่เจ้าของรถกัน เรามองไปที่ป้ายบอกทาง แก่งคุดคู้ 1.5 ก.ม.  มันไกลเหมือนกันนะ  เอางั้นเดี๋ยวเราเดินไปโบกไปแล้วกัน เดี๋ยวก็ต้องมีรถนักท่องเที่ยวผ่านมาบ้างแหละ      แล้วก็จริงครับไม่นานก็มีรถกระบะวิ่งผ่านมา 1 คัน เรารีบโบกทันทีเลยครับ พอรถจอดก็รีบวิ่งเข้าไปสอบถามทันที  น้องผู้หญิงที่ขับรถมาบอกว่ามาหัดขับรถค่ะ จะไปไหนกัน เราก็เลยบอกว่าจะเข้าไปเที่ยวแก่งคุดคู้กัน ถ้าพวกพี่ไม่กลัวเดี๋ยวหนูไปส่งให้ค่ะ ผมก็เลยรีบบอกไปว่า ขอบคุณครับ พวกพี่ไม่กลัวหรอกเต็มที่ เลย    แต่ก็ยังแอบหวั่นเล็กน้อยครับจึงให้พี่เจี๊ยบไปนั่งข้างหน้าเป็นเพื่อน เพราะว่าพี่เจี๊ยบขับรถเป็นจะได้สอนได้บอกน้องเขาด้วย


หลังจากแวะเที่ยวที่แก่งคุดคู้แล้วพวกเราก็โบกรถกันไปต่อที่เชียงคานซึ่งห่างออกไปประมาณ 4 ก.ม. พอมาถึงเชียงคานวันนี้เป็นวันจันทร์เมืองเชียงเงียบเหงาสงบมากๆ


บรรยากาศรอบๆที่พักที่เป็นแหล่งชื่นชอบของนักท่องเที่ยว แต่ผมว่าบรรยากาศสู้ปากชมไม่ได้เลย นี่ถ้าไม่มีบ้านไม้เก่าๆ ก็ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ครับ
 

ไหนๆมาถึงแล้ว เราก้ต้องไปเดินเที่ยวชมอาคารไม้หลังเก่าๆกันดีกว่า ที่แรกว่าจะนอนที่นี่ 1 คืน แต่มาไม่ทันก็ไม่เป็นไร เดินเที่ยวชมก็พอใจแล้วหล่ะ เพราะว่าเป้าหมายของพวกเราในวันนี้ยังไม่จบยังมีอีก 1 แหล่งท่องเที่ยวที่เราจะไปกัน


หลังจากที่เดินเที่ยวชมเมืองเชียงคานแล้ว เราก็แวะทานข้าวกันก่อน ก่อนที่จะโบกรถกันไปยัง ภูเรือ ซึ่งเป็นเป้าหมายสุดท้ายของการเดินทางในทริปนี้    เราตั้งใจจะไปเที่ยวภูเรือแล้วนั่งรถกลับกรุงเทพในช่วงกลางคืน พวกเราสามคนเดินไปตามถนนสี่เลนของตัวเมืองเชียงคานที่ร้อนระอุ พวกเราเริ่มเหน็ดเหนื่อยกันแล้วแล้วกะว่าจะหาร่มไม้เพื่อหยุดแล้วโบกรถตรงนั้นเลย แต่โชคดีก็เกิดขึ้นกับพวกเราอีกแล้วไม่นาน ก็มีรถจอดรับพวกเราก่อนที่จะได้จุดหยุดพักเสียอีก คราวนี้ได้รถยาวไปถึงตัวเมืองเลย เลยครับ ผมขอพี่เขาว่าจะขอลงตรงทางแยกที่จะขึ้นภูเรือครับ


พอมาถึงทางแยกและลงจากรถแล้ว    เราก็ไปโบกรถกันต่อ    อากาศช่วงเที่ยงวันยิ่งร้อนระอุเข้าไปใหญ่
พี่เจี๊ยบกับพี่ตัสเริ่มเหนื่อยกันแล้ว   แล้วเราก็เดินโบกรถมาไกลแล้วเหมือนกัน ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รถเลย แล้วสวรรค์ก็เข้าข้างเราอีกแล้ว เมื่อรถที่จอดอยู่เรียกพวกเราให้ไปขึ้นรถ เราก็รีบวิ่งไปสอบถามในทันที พี่เขาบอกว่าเห็นเราโบกรถตั้งแต่ใกล้ทางแยกแล้วหล่ะ แต่ไม่ได้แวะรับ เพราะจะแวะทำธุระก่อน แต่ถ้ายังเห็นอยู่ก็จะแวะไปรับ แต่พวกเราเดินมาถึงตอนที่พี่เขาเสร็จธุระพอดี  พี่เขาให้เราไปนั่งที่แค๊ป พวกเราก็ได้นั่งแอร์เย็นสบายเลยหล่ะ ก็พูดคุยกับพี่เขาตลอดทางและได้ทราบว่า พี่เขาชื่อ พี่เอ้ สารวัตรชาญชัย เป็นสารวัตรประจำอำเภอภูเรือครับ พี่เขาใจดีมากๆเลย


พี่เขาแวะส่งเราที่ภูเรือ   อันที่จริงพี่เขาอยากพาเราขึ้นไปเที่ยวเอง แต่พี่เขามีธุระจึงได้แค่แวะพาเราไปส่งตรงใกล้ทางขึ้นเท่านั้น หลังจากนั้นเราก็เหมารถขึ้นไปเที่ยวบนยอดภูเรือกัน    เพื่อจะดูพระอาทิตย์ตกกันแต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่อจู่ๆ ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเมฆ สีขาวโพลนไปหมด   เราเลยได้แค่นั่งชมวิวทิวทัศน์กันไป และก่อนกลับพวกเราก็อาบน้ำกันที่บนยอดภูเรือกันเลย ห้องน้ำสะอาดสะอ้านดีมากเลยครับ ไม่มีใครเลยทั้งดอยตอนนี้มีเพียงเราแค่สามคนเท่านั้น  เวลาประมาณ 18.00 น. พวกเราก็ลงมาจากยอดดอย เพื่อไปขึ้นรถกลับกรุงเทพเที่ยว 20.00 น.


แล้วการเดินทางที่แสนยาวไกลและ ทรหดของเราในครั้งนี้  ก็สิ้นสุดลง เป็นอีกครั้งหนึ่งของการเดินทางที่สนุกมาก มีการเดินทางในหลายๆแบบ และหลากหลายยานพาหนะ มีทั้งการนั่งเรือเร็วที่สุดแสนจะสนุกและตื่นเต้น การปั่นจักรยานเที่ยวรอบเมืองทั้งในตอนกลางวันและกลางคืน การนั่งรถบัสที่แสนยาวนาน การนั่งห่วงยางเล่นน้ำ การเช่ามอเตอร์ไซค์ขับเที่ยว การนั่งรถสามล้อ และสุดท้ายที่สนุกมากที่สุด คือการโบกรถเที่ยว   และนอกจากนั้นยังมีเรื่องราวระหว่างทางที่น่าจดจำ  ที่เกิดขึ้นอีกเยอะแยะเต็มไปหมด การเดินทางไม่ใช่แค่การไปเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานเท่านั้น   แต่ยังมีเรื่องราวต่างๆ  ประสบการณ์ต่างๆ และความรู้ต่างๆให้เราได้เรียนรู้เสมอในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้  อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นมันในมุมส่วนไหน

เสน่ห์ของการเดินทางคือเรื่องราว มิตรภาพ และความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นระหว่างทาง

เรียนรู้  เชื่อมั่น  และศรัทธา

สวัสดีครับ....

พลเอก........

ความคิดเห็น

  1. ไม่ระบุชื่อ16 มีนาคม 2554 เวลา 21:49

    อิจฉามากๆ...ซักวันต้องไปให้ได้แบบว่าสวยจริงอะไรจริง หลวงพระบางจ๋ารออีกนิดนะเดี๋ยวได้เจอกัน ขอบคุณอีกครั้งจากใจจริงที่นำเรื่องราวดีๆมาเล่าสู่กันฟัง และนำภาพสวยๆมาฝาก ครั้งหน้าไปที่ไหนอย่าลืมอัพมาให้ดูนะ จะติดตามทุกเรื่องราวเลย...fighting....

    ปล.ภาพที่40ชอบจังได้อารมณ์ดี

    ตอบลบ
  2. ปากชมสวยจังเลย คราวหน้าพาหนูไปด้วยนะ..

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ18 มีนาคม 2554 เวลา 00:19

    จบแล้วเหรอะ แล้วมีทริปที่อื่นต่ออีกมั้ย อย่าลืมมาอัพด้วยนะ จะรอดู
    หลวงพระบางนี้สุดยอดจริงๆ อยู่ใกล้แค่นี้เอง แต่ไม่มีโอกาสได้ไป ขอบคุณที่นำเรื่องราวต่างๆมาแบ่งปันกันให้ดู ให้คนที่ยังไม่ได้ไปได้รับชม และรับรู้เรื่องราวต่างๆ เพื่อปูทางไว้ล่วงหน้าเผื่อวันนึงได้ไปจะได้คลำทางถูก
    ...อยากบอกว่าชอบภาพที่40จัง....
    มีเรื่องราวดีๆ...อย่าลืมนำเสนออีกนะ....

    ตอบลบ
  4. รอก่อนนะ กำลังเอาลงอยู่ เร็วๆนี้จ้า....

    ตอบลบ
  5. วิวสวยจัง อยากไปด้วยแล้ว ทริปต่อไป ชวนด้วยดิเอก อย่าลืมนะคร้า

    ตอบลบ
  6. โอ้...โฮ

    นี่แหละใช่เลย

    ตอบลบ
  7. ได้เลยพี่วาสเตรียมตัวไว้ให้ดีๆหล่ะ

    ตอบลบ
  8. อยากรู้ว่าทริปนี้ใช้เวลาเดินทางประมาณกี่วันคะ คือว่ากำลังหาข้อมูลจะไปเหมือนกันค่ะ

    ตอบลบ
  9. ไม่ระบุชื่อ9 กรกฎาคม 2554 เวลา 16:20

    ขอโทษครับที่มาตอบช้า ใช้เวลาทั้งหมด 6 วันครับ

    เที่ยวให้สนุกนะครับ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 สวนดอกไม้ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น (ที่ไม่ไกลจาก Tokyo)

Trip in japan : kamikochi คามิโคจิ ความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ใจกลางเจแปนแอลป์ (Matsumoto)

Zao Snow Monsters ทุ่งปีศาจหิมะที่ซาโอะ