++ การเดินทางของมิตรภาพทั้งเจ็ด กับการเผด็จศึกแห่งขุนเขา........(ตอนที่ 2) ดอยผ้าห่มปก ++

   การเดินทางของพวกเราก็ยังไม่สิ้นสุดยังมีเรื่องราวและสถานที่อื่นๆให้ได้ติดตามกันต่อ หลังจากนี้มีเรื่องที่น่าตื่นเต้นสุดๆที่ทำให้พวกเรานั้นไม่มีวันที่จะลืมมันไปได้อย่างแน่นอน หากกล่าวถึงทริปนี้ พวกเราจะต้องนึกถึงเหตุการณ์นั้นก่อนเป็นอันดับแรกอย่าลืมติดตามกันต่อนะครับ 

ต่อจากตอนที่แล้ว


หลังจากลงมาจากดอยเชียงดาวถึงด้านล่างประมาณ ประมาณ 11 โมงกว่า พวกเราก็บอกให้พี่คนขับที่พวกเราเหมาให้ไปรับที่ปางวัว ไปส่งเราที่บริเวณทางแยกถนนเลี่ยงเมืองของอำเภอเชียงดาว  เพื่อมุ่งหน้าไปอีกหนึ่งจุดหมายในครั้งนี้ หลังจากนี้พวกเราตัดสินใจกันว่าจะโบกรถกันไปให้ถึงอำเภอฝาง เพื่อต่อรถที่เหมาเอาไว้ขึ้นดอยผ้าห่มปกกัน พวกเราเดินโบกกันท่ามกลางไอแดดที่ร้อนระอุ มันผิดกันมากกับอากาศเมื่อคืนนี้อย่างกับอยู่กันคนละประเทศอย่างไงอย่างงั้น ประมาณยี่สิบนาทีพวกเราก็โบกรถได้ พี่ที่ขับรถหกล้อใจดีมากจอดรับเราด้วย แถมยังลงมาถามด้วยว่าไปไหน พอเราบอกว่าจะไปอำเภอฝาง พี่เขาบอกว่าจะไปที่นั่นพอดี ว้าวโชคดีอะไรอย่างนี้ พี่ขับบอกว่าอาจขึ้นลำบากหน่อยนะรถมันสูง และมันสูงจริงๆครับ ผู้ชายธรรมดาแค่นี้แต่ผู้หญิงนี่ซิ กว่าจะขึ้นได้ทุลักทุเลไม่น้อยเลย พอรถแล่นออกไปได้ไม่นานพวกเราก็ตัดสินใจว่าจะกินข้าวเที่ยงบนรถนี้เลย เพราะว่าหิวมากเเล้ว พวกเราจึงจัดแจงเอาเสบียงที่เตรียมวางบนพื้นรถแล้วทานกัน กินไปพยายามเล็งช้อนไปเดี๋ยวถ้าพลาดมันจะไม่เข้าปาก เพราะถนนจากนี้โค้งทั้งนั้น แถมยังต้องใช้มือใช้เท้าช่วยยันไว้ด้วย เพราะมันเหวี่ยงแรงจริงๆ   เพื่อนบางคนบอกว่า
" นี่มันคือโต๊ะจีนเคลื่อนที่ที่น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้ทาน "
ได้ฟังอย่างนั้นแล้วพวกเราทุกคนถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ขำก๊ากกันออกมาทั้งๆที่ข้าวยังเต็มปากอยู่เลย



หลังจากโบกรถกันมาจากอำเภอเชียงดาว ในที่สุดเราก็มาถึงอำเภอฝางช่วงบ่ายอ่อนๆ มาถึงรถที่ติดต่อเอาไว้ก็ยังไม่เห็นมาเราจึงนั่งรออยู่ข้างฟุตบาตกัน และบางคนก็ออกไปหาซื้ออาหารเพื่อเตรียมขึ้นไปทานข้างบนกัน บางคนก็เฝ้าของ พอรถมาถึงเราถึงกับงง บนหลังคารถติดคำว่า" รถรับส่งนักเรียน "อ้าวแล้วนี่ยังไงกัน รถก็ไม่ใช่โฟร์วิว โทรกลับไปถามเจ้าหน้าที่อีกครั้งเขาบอกว่าคันนี้แหละถูกแล้ว เอาว่ะ พวกเราตกลงกันว่าไปเถอะ มันจะค่ำซะก่อนกว่าจะถึง บนดอยอีก


ขันั่งรถมาได้สักพักเราก็มาถึงด่านตรวจของอุทยาน  เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆ  ช่วงที่ผมลงไปติดต่อจ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆ พรรคพวกเราก็ไม่ให้เสียเวลารีบกระโดดลงจากรถ  แล้วมาถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานบริเวณรอบๆอ่างเก็บน้ำ ที่อยู่ใกล้ๆ หลังจากนั้นเราก็มุ่งหน้าขึ้นยอดดอยผ้าห่มปก การเดินทางราบรื่นเกือบโดยตลอด แต่ก็มีเรื่องราวให้ได้ระทึกขวัญเล็กน้อยเมื่อรถของเราที่ขึ้นไป ล้อเกิดฟีไม่สามารถที่จะไปต่อได้   ติดอยู่บริเวณนั้นนานมากๆถอยลงมาตั้งหลักเพื่อลองใหม่สามสี่ครั้งก็ไปไม่ได้   เพื่อความปลอดภัยเราจึงตัดสินใจที่จะลงจากรถก่อน พอทุกคนลงมาหมดก็เริ่มกันใหม่คราวนี้พวกเราผู้ชายก็เขาไปช่วยดันท้ายกันอย่างสุดแรงเกิด แต่ก็ยังขึ้นไม่ได้สี่ห้าครั้งพวกเราก็เริ่มหมดแรงและก็หมดหวังว่าคงขึ้นไม่ได้แน่นอน แต่ก็เหมือนสวรรค์เข้าข้าง หรือเจ้าที่เห็นใจ ไม่นานพวกเราก็ได้ยินเสียงรถ บรึน บรึน ขึ้นตามหลังมา  ไม่นานก็เห็นเป็นรถสองแถวสีแดงที่พวกนักศึกษาเหมามาจากตัวเมืองเชียงใหม่ พอเห็นรถของพวกเราติด   กลุ่มนักศึกษาชายทั้งหมดที่มาก็กระโดดลงจากรถมาช่วยดันท้ายรถเรากันอย่างแข็งขัน แค่ครั้งเดียวเท่านั้นรถของพวกเราก็หลุดจากเส้นทางที่ลาดชันและลื่นจุดนี้ได้ ( ต้องขอบคุณกลุ่มนักศึกษาจาก มช.มากๆเลยครับ)


พอผ่านวิกฤตมาได้ เราก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกแล้ว ที่ยอดดอยมีหมอกปกคลุมเต็มไปหมดไม่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตก  แต่เราก็ยังหวังว่าตอนเช้าขอให้ทะเลหมอกสวยๆเหมือนดอยเชียงดาวแล้วกัน    พอเวลาประมาณสองทุ่มอากาศก็แปรปรวนหนักเมื่อมีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่พี่เจ้าหน้าที่บอกว่านี้คือ " เหมยขาบ "   มันเกิดจากการที่หมอกละลายตัวกลายเป็นหยดน้ำ ทำให้เหมือนมีฝนตก     ในสายหมอกที่ปกคลุม



ตอนเช้ามืดประมาณตีสี่พวกเราก็ตื่นขึ้นเพื่อที่จะเดินไปชมพระอาทิตย์ตกที่ยอดดอยผ้าห่มปกซึ่งต้องเดินขึ้นไปประมาณสามกิโลเมตรกว่าๆ พอไปถึงเราก็ต้องผิดหวังอีกแล้ว เมื่อหมอกยังคงเยอะไปหมดแทบมองไม่เห็นอะไรเลย



แต่ก็ไม่เป็นไรถือซะว่าเป็นอีกบรรยากาศหนึ่งก็แล้วกัน ยากนะที่จะได้เห็นเหมยขาบ พยายามหาข้อดีออกมาอ้างอิงเพื่อไม่ให้ผิดหวังมากเกินไป แต่พวกเราก็ยังสนุกสนานกัน วันนี้เราขึ้นกันมาห้าคน เพราะว่าพี่สาวของผม กันพี่ชายอีกคนหนึ่งบอกว่าหมดแรงขอรออยู่ที่เต๊นท์ก็แล้วกัน


รารออยู่ประมาณ แปดโมงกว่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าหมอกจะจางหายไปเลย มีเพียงแค่เปิดให้เห็นวิวบ้างเล็กน้อยประมาณนี้ เราจึงละใจเดินกันกลับ



ก่จะกลับพวกเราก็ยังไม่วายที่จะถ่ายรูป  กันอีกหลายแช๊ะ และรอเดินกลับหลังเพื่อนให้กลุ่มอื่นๆเขาลงไปก่อน พวกเราจะได้แหกปากกันเล็กน้อย   พอคนอื่นๆเดินลงกันไปหมด  พวกเราก็ตะโกนร้องสุดเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน เราตะโกนกันสองครั้งแล้วก็รีบเดินกลับ  แต่ถ้ามีนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆยังอยู่ เราไม่ทำนะครับ เกรงใจ เพราะนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆอาจจะกำลังซึมซับและชื่นชมกับธรรมชาติอยู่ครับ


  อีกสักภาพก็แล้วกันครับ ก่อนที่เดินลง พอเวลาเดินลงมาพวกเราหิวข้าวมากๆ ท้องร้องตะโกนดังลั่น
 อารีเพื่อนของผมเดินบ่นตลอดทางเลย    แถมยังเพ้ออีกต่างหาก      นี่ถ้าเราเดินลงไปถึงแล้วได้กิน
 ไข่ดาว ไส้กรอกแล้วก็กาแฟกับขนมปังปิ้งคงดีมากๆเลย    แล้วก็ไม่น่าเชื่อครับเราได้กินจริงๆด้วยพอ
 ไปถึงพี่กอร์ฟ     ที่ไม่ได้ขึ้นไปกับพวกเรา     แกไปสั่งไส้กรอกและไข่ดาวไว้เอามาให้พวกเรากินกัน
โอ้ว อะไรจะดีอย่างนี้นะ  แถมพี่แกก็ยังต้มน้ำและปิ้งขนมปังรอเราอีกด้วยต่างหาก สุดยอดจริงๆพี่เรา



หลังจากนั้นพวกเราก็เก็บของเตรียมตัวลงดอยกัน  ก่อนลงขอถ่ายเก็บไว้อีกสักรูปก็แล้วกันที่หน้าทำการอุทยาน สายหมอกยังคงลอยคลุ้งเต็มไปหมด เก้าโมงครึ่งพวกเราก็ออกเดินทางโดยรถคันเดิม พอลงมาได้ไม่นานก็เกิดเรื่องระทึกขวัญอีกแล้วมันอะไรกันนะ กับการเดินทางคราวนี้ เราสังเกตุแล้วตั้งแต่ตอนขาขึ้นแล้วว่าพี่คนขับน่าจะไม่ค่อยชำนาญกับการขับรถขึ้นเขาลงเขาเท่าไหร่  เราต้องนั่งเกร็งกันตลอดทางขาลง เพราะว่าฝนมันตก  มันทำให้ถนนลื่นมากๆ  แถมล้อรถพี่เขาดอกยางก็สึกหรอมากๆ มันเลยไม่ค่อยเกาะพื้นถนน คันที่ตามหลังเรามาเขาขับแซงเราไปอย่างง่ายดาย   แต่คันเรานี้ซิค่อยๆไป เพราะว่าเดี๋ยว ล้อหน้าปัด เดี๋ยวท้ายรถปัดแถมข้างๆก็เป็นหุบเขาลึก เราต้องนั่งหวาดเสียวกันตลอดทาง



ลังจากผ่านวินาทีที่วิกฤตมาได้พวกเราก็มาถึงตรงทางแยก อ.ฝาง แล้วก็เริ่มต้นโบกรถกันต่อ พวกเราเดินหาจุดเหมาะๆที่จะตั้งท่าโบกรถกัน ตลอดระยะสองชั่วโมง เรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเดียว ที่พวกเราสนทนากัน


เดินมาได้ประมาณสักสี่ร้อยเมตรก็ยังไม่พบจุดเหมาะๆ  แต่พวกเราก็ยังคงเดินไปด้วยโบกไปด้วย        หากเจอร่มไม้ที่ไหนแล้วค่อยหยุด  ตั้งหลักกันโบกจริงๆจังๆ    จุดหมายปลายทางต่อไปและ              เป็นที่สุดท้าย   ของพวกเราก็คือ  สันป่าเกี๊ยะ หรือศูนย์ส่งเสริมเกษตรที่สูงแม่ตะมาน


แต่พวกเราก็มาพบร้านขายผลไม้ที่ตั้งแผงอยู่ข้างทางประมาณห้า หก ร้าน พวกเราจึงเข้าไปขอชิม แล้วซื้อพุทรานมสดกันมาทาน สามถุง ถุงละสามสิบห้าบาท สามถุงร้อย  แล้วพวกเราก็โบกกันต่อ คราวนี้เราโบกได้รถกระบะที่มีหลังคาแครี่บอย ได้เจอกับพี่ที่ทำงานอยู่แกรมมี่ แกบอกว่าแกมาตรวจเรื่องลิขสิทธิ์ที่นี่ แล้วเรื่องราวของพวกเราก็เริ่มอีกครั้ง ขณะที่อยู่บนท้ายกระบะที่มุ่งหน้าไปเชียงใหม่ พี่สาวคนเก่งของผม ก็มีอาการหิวข้าวแล้วก็บ่นออกมาว่าอยากกิน ก๋วยเตี๋ยวจังเลย อยากสดน้ำซุปร้อนๆ ผมก็เลยบอกว่ารออีกแป๊บหนึ่งเดี๋ยวก็ถึง อ.เชียงดาวแล้วเดี๋ยวไปกินกัน   แต่พอไม่นาน   พี่เจ้าของรถแกก็จอดรถอย่าง กระทันหัน พวกเรามองหน้ากันอย่างแปลกใจมีอะไรหรือเปล่า หรือว่ารถเสีย ไม่นาน พี่เจ้าของรถก็เปิดประตูเดินลงมา  แล้วบอกพวกเราว่าเดี๋ยวแวะทานข้าวกันก่อนนะ หิวหรือเปล่า ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้อร่อยมากนะ ลงมาเร็ว แล้วพี่เจ้าของรถ    (ขอโทษทีนะครับจำชื่อพี่เขาไม่ได้อ่ะ)ก็เดินนำไป  พวกเราหันมามองหน้ากันอย่างแปลกใจ    พี่สาวผมเพิ่งบ่นอยากกินก๋วยเตี๋ยวเมื่อกี้นี้เอง     เรื่องราวเซอร์ไพรซ์ก็มีไม่น้อยทีเดียว   พวกเรารีบลงแล้วตรงดิ่งไปสั่งก๋วยเตี๋ยวกันอย่างรวดเร็ว  พอทานเสร็จจะจ่ายตังส์    พี่เขาบอกว่าไม่ต้องเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง โอ้วว  ซึ้งมากเลยครับ น้ำใจคนไทยยังไงก็ยังมีอยู่ครับ แล้วพี่เขาก็ไปส่งเราถึงที่หมายที่ อ.เชียงดาว  เพื่อรอรถมารับเพื่อขึ้นไปที่   แม่ตะมาน  เป้าหมายของเราต่อไปครับ

น้ำใจจากคนไทยยังไง ก็ยังคงไม่เลือนหายไป 

ติดตามตอนสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ได้ที่ สันป่าเกี๊ยะ 




ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม 


สวัสดีครับ... 


 พลเอก........










ความคิดเห็น

  1. โอ้โฮ!!สุดยอด

    นักเดินทางตัวจริง(คุงไกด์)
    การเดินทางที่แสนพิเศษ...

    ตอบลบ
  2. ทีมงานนี้......ยอดสุดๆๆๆ...<:-)

    ตอบลบ
  3. โอ้โฮ้...!! สุดยอดอีกแย้ว

    อะเมซิ่ง Thailand ซู๊ด ๆ แย้ว

    ปล. จาติดตามทุกทริปนะจร้า

    ตอบลบ
  4. ทริปนี้สวยมากอ่ะ
    หมอกสวยมากเลยพี่เอก........

    ตอบลบ
  5. ใช่ หมอกที่นี่สวยมากๆครับ ขอบคุณมากๆนะ

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ12 มีนาคม 2554 เวลา 00:12

    สวยสุด ๆ เลยเอก

    ตอบลบ
  7. อย่าลืมทริปหน้า เอาภาพสวยมาฝากด้วยน๊าคร้า น้องเอก

    ตอบลบ
  8. อยากไปด้วยจัง อยากเห็นความสวยงามตามธรรมชาติ

    ตอบลบ
  9. มีอารัยดี-ดี เก็บมาฝากด้วยน๊า คร้า น้องเอก

    ตอบลบ
  10. อยากกินพุทรา!!!!!
    น่าอร่อยจังงงงงงงงงงง
    ไปคราวหน้า....ขอไปกินด้วยนะ..นะ..นะ

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ16 มีนาคม 2554 เวลา 21:04

    ขอบคุณนะคะ ที่เล่าเรื่องดีๆ ประสบการณ์อันน่าจดจำนี้ให้ได้อ่านได้ชมกัน อ่านแล้วอยากไปบ้างจัง อยากมีช่วงเวลาดีๆแบบนี้บ้าง มันเป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ จะคอยติดตามเรื่อยๆนะคะ
    ---------fighting-----------

    ตอบลบ
  12. เป็นการเดินทางที่ทรหดจริง ๆๆๆนะแต่เห็นวิวที่ถ่ายมาก็คุ้มกับความเหนื่อยค่ะ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 สวนดอกไม้ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น (ที่ไม่ไกลจาก Tokyo)

Trip in Japan : เที่ยวกำแพงหิมะ เมืองโทยามะ ตอน ดินแดนฮาโตริ เมืองฮิมิ กำแพงหิมะบนอัลไพท์รูท (Himi Tateyama)

Trip in japan : kamikochi คามิโคจิ ความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ใจกลางเจแปนแอลป์ (Matsumoto)